|
มนต์บท โอม มณี ปัทเม ฮุม นี้มีพระคุณเจ้ารูปหนึ่ง
ได้ทำการศึกษาวิจัยอยู่ที่มหาจุฬาฯ หรือมหามงกุฏฯผมก็จำมิได้แน่ แต่มีเนื้อความอยู่ว่า
"โอม มณี ปัทเม หูม
กำเนิดและลักษณะเชิงจักรวาลแห่งพยางค์ศักดิ์สิทธิ์ "โอม"
: มรรคาแห่งสากลภาวะ (The Path of Universality)
มันตระของตันตระได้รับอิทธิพลโดยตรงจากพราหมณ์ยุคอุปนิษัท คำว่า "โอม"(OM, หรือ AUM) ประกอบด้วยอักษร ๓ ตัว คือ "อ(A), อุ(U), ม(M)" "อ(A)" คือพระพรหมผู้สร้าง "อุ(U)" คือพระวิษณุผู้รักษา "ม(M)" คือพระศิวะผู้ทำลาย พราหมณ์ทุกคนตื่นขึ้นมาตอนเช้า ต้องกล่าวคำว่า "โอม" เพื่อจุดประสงค์ ๒ อย่าง คือ นอบน้อมตรีมูรติ ซึ่งเป็นธรรมชาติสูงสุด และสร้างความสมบูรณ์สูงสุดให้เกิดมีขึ้นในตัวเอง
ความสำคัญของพยางค์ "โอม" เห็นได้จากข้อความต่อไปนี้
แก่นของสรรพสิ่งคือดิน
แก่นของดินคือน้ำ
แก่นของน้ำคือพืช
แก่นของพืชคือมนุษย์
แก่นของมนุษย์คือคำพูด
แก่นของคำพูดคือฤคเวท
แก่นของฤคเวทคือสามเวท
แก่นของสามเวทคือุทคีตะ(ซึ่งก็คือ โอม)
อุทคีตะคือสุดยอดของแก่นทั้งมวล นับเป็นแก่นสูงสุด
สมควรได้รับฐานะสูงสุด คือ ฐานะที่ ๘
ดินและน้ำรวมเป็นหนึ่งถ่ายพลังไปสู่พืช จากพืชไปสู่มนุษย์ พลังมนุษย์ถูกรวมไปอยู่ที่จิตและถ่ายทอดออกมาในรูปของคำพูด ซึ่งทำให้มนุษย์แตกต่างจากสรรพสัตว์ "โอม" คือ พีชะ มันตระของจักรวาล เป็นพลังจักรวาลแห่งจิตที่ครอบคลุมทุกสิ่ง เป็นเครื่องมือก้าวไปสู่ความหลุดพ้น เหมือนแมลงมุมขยุ้มไต่ไปตามข่ายใยของตน เพื่อไปสู่ความเป็นอิสระ
จักรวาลวิถีกับการสร้างคุณค่าใหม่แก่พยางค์ศักดิ์สิทธิ์ "โอม"
จักรวาลวิถีแยกไม่ออกจากปัจเจกวิถี มนุษย์จะมีเจตนาที่จะเชื่อมโยงตนกับจักรวาลหรือไม่ก็ตาม สายสัมพันธ์ก็ยังเชื่อมโยงอยู่อย่างนั้น ความรุ่งเรืองของปัจเจกชนย่อมขึ้นอยู่กับเจตนาที่จะเชื่อมโยงตนกับจักรวาล
"โอม" ไม่ใช่สิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา แต่เป็นพื้นฐาน อยู่ในฐานะเป็นจุดเริ่มต้นในโพธิสัตตวมรรคา กล่าวคือ อยู่ในจุดเริ่มต้นของเกือบจะทุกมันตระ ทุกรูปแบบของการบูชา กรรมฐานทุกประเภท "โอม" เป็นจุดที่อุปนิษัทสิ้นสุดแต่เป็นจุดที่พุทธวิถีเริ่มต้น แต่พุทธวิถีไม่ได้สิ้นสุดที่นี่
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนาเถรวาท คือการเพ่งพิจารณากระบวนการทำงานของรูปนาม เป็นเรื่องภายในตัวตน เพ่งเข้าด้านใน "โอม" มีสายสัมพันธ์โดยตรงกับร่างกายของมนุษย์ "อ(A)" คือส่วนหัวทั้งหมดมาถึงลำคอ "อุ(U)" คือส่วนลำตัวทั้งหมดถึงบริเวณสะดือ "ม(M)" คือส่วนตั้งแต่ใต้สะดือลงไป ถามว่า "วัตถุประสงค์ของเปล่งพยางค์ โอม คืออะไร ? อะไรคือผลที่เกิดจากการเปล่งพยางค์ โอม ?"
วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติวิปัสสนาที่นำเอาสติปัฏฐาน ๔ มาเป็นกรอบก็เพื่อให้เกิด ความเข้าใจในกระบวนการทำงานของรูปนาม ผลที่เกิดขึ้นคือการรู้เท่าทันกระบวนการทำงานของรูปนาม อันจะมีผลสืบเนื่องคือความปล่อยวาง ส่วนวัตถุประสงค์ของการเปล่งพยางค์ "โอม" มี ๒ อย่าง
๑. กระตุ้นประสาทแต่ละส่วนในร่างกายให้ทำงานประสานกัน เพื่อผลในขั้นต่อไปคือเอกภาพ ความแน่วแน่รวมเป็นหนึ่งของประสาทแต่ละส่วน สามารถนำไปเชื่อมโยงกับตรีมูรติได้
๒. กระตุ้นประสาทแต่ละส่วนให้ทำงานอยู่เสมอ เพื่อให้ปรากฏภาพชัดเจน ทำให้โยคีกำหนดพิจารณากระบวนการทำงานของประสาทได้ง่าย
ผลที่เกิดขึ้นจากการเปล่งพยางค์ โอม คือ ความประสานกลมกลืนของประสาทแต่ละส่วน และโยคีจะรู้สึกได้เกี่ยวกับกระบวนการทำงานของประสาทตลอดเวลา การสร้างคุณค่าใหม่แก่พยางค์ โอม คือ การเปิดมิติแห่งปัจเจกชนรับมิติแห่งจักรวาล คุณค่าใหม่อยู่ที่การเชื่อมติดกันระหว่างมิติแห่งปัจเจกชนกับมิติแห่งจักรวาล
ความหมายและความสำคัญของพยางค์ศักดิ์สิทธิ์ "มณี"
: มรรคาแห่งสหภาวะและอัชฌัตติกสมบัติ |
|