เมืองเสน่ห์กาหลง มหาเสน่ห์ มหาเมตตา มหานิยม
Khalong Amulet
2142
3
ซ่อนแถบด้านข้าง

ธรรมมะดีๆ วันละเรื่อง

[คัดลอกลิงก์]
snoopy โพสต์เมื่อ 13-3-2012 14:37 | แสดงโพสต์ทั้งหมด |โหมดอ่าน
= หลวงพ่อฤาษี เล่าเรื่องในหลวง =



วันก่อนผมนั่งฟังบรรยายธรรมะของหลวงพ่อฤาษีที่ท่านเมตตาบันทึกเอาไว้เมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน ท่านเล่าเรื่องที่ท่านได้เข้าถวายพระพรในหลวงเป็นการส่วนตัวหลายครั้ง เหตุการณ์แรกที่ท่านเล่า ตอนนั้นเฝ้าถวายพระพรที่สวนจิตรดา เมื่อเข้าไปในห้องรับรอง ในหลวงเป็นผู้ลงกลอนประตูด้วยพระองค์เอง จากนั้นก็นั่งสนทนากันเพียงนั้น

     เมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อนนั้น บ้านเมืองกำลังเผชิญกับปัญหาผู้ก่อการร้ายคอมมูนิสต์ เหนือ อีสาน ใต้ มีคอมมูนิสต์แฝงตัวไปหมด ในหลวงเล่าให้หลวงพ่อฤาษีฟัง เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จังหวัดยะลาซึ่งพระองค์ท่านเพิ่งประสบมา

     วันนั้นพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมประชาชน ระหว่างเองเสียงระเบิดก็ดังขึ้น ห่างที่ที่ประทับเพียง ๑๐๐ เมตร ประชาชนต่างแตกตื่นกันโกลาหล ในหลวเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า พอเสียงระเบิดดังขึ้น พระองค์ก็นิ่งไปชั่วครู่ แล้วทรงคิดว่า ระเบิดมันเกิดขึ้นแล้ว และมันจบไปแล้ว มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ถ้าเราจัตื่นเต้นและวิตกกับมัน สิ่งที่กำลังทำอยู่ก็จะเสียหาย แล้วในหลวงก็ปฏิบัติงานต่อไป

     จากนั้นไม่นาน ระเบิดลูกที่สองก็ระเบิดขึ้น คราวนี้ห่างจากที่ประทับเพียง ๕๐ เมตร ในหลวงก็ทรงสงบนิ่ง และเยี่ยมเยียนราษฎรต่อไป แม้จะเกิดระเบิดขึ้นถึงสองครั้ง ในขณะที่ยังมีราษฎรรอพระองค์ให้เสด็จไปเยี่ยมในอีกเต้นท์หนึ่ง ซึ่งคราวนี้จุดนั้นจะอยู่ห่างจากจุดเดิมที่ระเบิดเพียง ๗ เมตรเท่านั้น ในหลวงก็เสด็จไปเยี่ยมราษฎรของพระองค์ต่อไป อย่างไม่ทรงวิตกว่า อนาคต จะเกิดอะไรขึ้น

     หลวงพ่อได้ยินก็กล่าวว่า ท่านทรงมีกำลังพระทัยที่ดีมาก  ..

     มาถึงเรื่องที่สอง – คราวนั้นหลวงพ่อขึ้นไปเฝ้าถวายพระพรในหลวงที่พระตำหนักภูพิงค์ พอใกล้เวลา ๕ โมงเย็น ฮ.ที่ประทับที่มาถึงพระตำหนัก นายทหารผู้ใหญ่ก็มาเชิญหลวงพ่อไปที่ห้องรับรอง ไปถึงสักพัก ในหลวงก็เสด็จเข้ามาในห้อง ขณะนั้นหลวงพ่อมีอาการไข้อยู่หลายวัน แต่เมื่อมองไปที่ในหลวงก็สังเกตว่าในหลวงสีหน้าพระพักต์เคร่งเครียด เพิ่งเสด็จกลับจากการทรงงาน เสื้อผ้าก็ยังเป็นชุดเดิม ท่านทรงงานโดยที่ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย วันนั้นหลวงพ่อเล่าว่าเป็นการสนทนากันอย่างเครียดๆ

     ตอนหนึ่งของการสนทนา ในหลวงเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า มีคนพูดกันมากว่าเดี๋ยวนี้หลวงพ่อแสดงฤทธิ์บ่อยเหลือเกิน หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ นึกในใจว่า เรามีก็ต้องอวดสิ แล้วถวายพระพรในหลวงว่า เรื่องนินทานั้นเป็นธรรมดาของโลก พระพุทธเจ้าก็ยังโดนนินทา

     ในหลวงทรงตรัสว่า “ผมก็โดนเหมือนกัน เมื่อก่อนเขาก็ว่าผมฆ่าพี่ชาย มาตอนนี้เขาก็หาว่าผมฆ่าพ่อตา” แล้วก็ตรัสว่า ทรงวางเฉยกับเรื่องเหล่านั้น ..

     จากนั้นในหลวงก็ถามหลวงพ่อเรื่องการจัดหาแหล่งน้ำให้ประชาชนในจังหวัดอุทัยธานี แล้วทรงถามความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องที่พระองค์ท่านขอให้หลวงพ่อตั้งหน่วยช่วยเหลือประชาชนทางภาคเหนือขึ้น ทรงตรัสกับหลวงพ่อว่า แม้การช่วยเหลือคนยากไร้ที่ถูกต้องคือการสอนให้เขารู้จักทำมาหากิน แต่ถ้าเขายากไร้ขนาดที่จะเอาชีวิตไม่รอด การแจกสิ่งของบรรเทาทุกข์ก็เป็นสิ่งแรกที่ควรทำ จากนั้นในหลวงทรงเล่าถึงเทปธรรมะที่ทรงขอให้หลวงพ่อบันทึกไว้ เพื่อพระองค์จะได้ฟังก่อนนอน

     ในหลวงเล่าว่า คืนนึง พระองค์ฟังเทปที่หลวงพ่อถวายให้ ตอนแรกนึกว่าเป็นเทปสอนกรรมฐาน แต่พอฟังไปกลายเป็นเรื่องที่หลวงพ่อเล่าเกี่ยวกับการทำงานแจกสิ่งของให้คนยากไร้

     ในหลวงเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ฟังไปก็หัวเราะอยู่คนเดียว .. เรื่องที่หัวเราะก็คือ หลวงพ่อบ่นว่า คนที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจัดมารับสิ่งของ หลวงพ่อไม่แน่ใจว่าเป็นคนยากไร้จริงหรือเปล่า .. ในหลวงเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า นึกว่าพระองค์จะเจอเหตุการณ์แบบนี้เพียงคนเดียว หลวงพ่อก็เจอเหมือนกัน จากนั้นทรงเล่าว่า พระองค์เคยถามนายอำเภอคนหนึ่งว่า ทำไมประชาชนที่มารับสิ่งของพระราชทานเสื้อผ้าดูดี ไม่น่าจะเป็นคนยากไร้ นายอำเภอตอบว่า คนที่แต่งตัวไม่ดีนายอำเภอไม่ให้มาเข้าเฝ้า ...

     ผมฟังเรื่องที่หลวงพ่อเล่าแล้วก็น้ำตาคลอ จะหาใครที่รักประชาชนได้มากขนาดนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในหลวงไม่เคยทอดทิ้งประชาชน ยังจำกันได้มั้ย?  หลังพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพในหลวงรัชกาลที่ ๘ วันที่ในหลวงเสด็จกลับไปศึกษาต่อในต่างประเทศ มีประชาชนไปส่งพระองค์ท่านเต็มสองฝั่งถนน สมเด็จพระราชินีทรงบันทึกไว้ว่า พระองค์ตั้งพระทัยจะสละราชสมบัติหลังจากนั้น แต่ระหว่างทาง ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้น .. “ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน”

     ในหลวงได้ยิน ก็มองไปยังต้นเสียง แล้วคิดว่า –ถ้าประชาชนไม่ละทิ้งข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะละทิ้งประชาชนได้อย่างไร?

     ในวันที่พระองค์ท่านคิดสละราชสมบัติ ประชาชนก็รั้งพระองค์ท่านเอาไว้ บอกว่าอย่าละทิ้งประชาชน

     ๖๐ กว่าปีผ่านไป กับงานที่พระองค์ทรงตรากตรำ จนพระวรกายทรุดโทรมและต้องประทับอยู่ ณ โรงพยาบาล ..

     วันนี้ วินาทีนี้ กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

     จึงเหลือคำถามสุดท้ายที่เราต้องตอบ

     เราจะละทิ้งในหลวงหรือ ?

ที่มา http://www.oknation.net/blog/inmind/2010/04/12/entry-3

ตัวเลขทั้ง 7 ในเบอร์มือถือ สามารถบ่งบอกนิสัยตัวตนของผู้ใช้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ อย่ารอให้ชีวิตคุณดีก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเลขมือถือให้ดี คุณต้องเปลี่ยนเลขดีก่อน ชีวิตคุณถึงจะดี!! ตัวเลขเสียๆ มักดึงดูดพลังงานเสียๆ เข้ามาทำให้เราผิดหวังในชีวิต ตรงกันข้าม ตัวเลขดีๆ มักดึงดูดพลังงานด้านดีๆ เข้ามาในชีวิต ผนวกกับบุญกรรมเก่าของแต่ละคนว่าจะไปสุดที่ตรงไหน เลขบางตัวเหมาะกับคนหนึ่ง แต่เป็นเลขเสียกับอีกคนหนึ่ง ศาสตร์พลังงานเลขมือถือ บางส่วนอิงจากโหราศาสตร์ไทย บางส่วนมาจากการเก็บสถิติ ศาสตร์เลขมือถือต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ในการวางตัวเลขมือถือให้เหมาะสม หลายคนเมื่อทราบผลการวิเคราะห์เบอร์มือถือของตนแล้วว่า ดี ร้าย อย่างไร แต่ยังพร้อมยอมทนใช้อยู่ ไม่รู้ทำไม เหตุผลง่ายนิดเดียว "เพราะทุกคนมีกรรมเป็นของตน" เมื่อถึงเวลา ฟ้าจะเปิดทางให้ท่านเปิดใจรับเรื่องมงคลดีๆ เข้ามาเสริมความรุ่งเรืองชีวิตท่านเอง จงจำไว้ ดวงคนเลือกเบอร์มาใช้เอง เบอร์ใครเบอร์มัน ไม่ซ้ำกัน หากท่านศรัทธาในศาสตร์พลังตัวเลขแล้ว ขออย่าลังเล หรือสงสัย อย่ารีรอทนใช้เบอร์เสียๆ เพื่อดึงดูดเรื่องร้ายๆ มารอเพื่อส่งผลแล้วค่อยเปลี่ยนเบอร์มือถือ วันนี้ คุณมีทางเลือกใช้ชีวิตแบบติดเทอร์โบได้ มัวช้าอยู่ทำไม? บริการวิเคราะห์เบอร์มือถือ วางเลขมงคล เรื่องการงาน การเงิน ความรัก โทร 09ุ ุ42282289 LINE ID: cholvibul
bigkuma โพสต์เมื่อ 13-3-2012 19:45 | แสดงโพสต์ทั้งหมด
จะเทิดทูลไว้เหนือเกล้า ทรงพระเจริญ
 เจ้าของ| snoopy โพสต์เมื่อ 14-3-2012 13:41 | แสดงโพสต์ทั้งหมด
หลวงพ่อเล่าเรื่องต้นหางนกยูงล้ม

(จากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน)



เรื่อง ต้นหางนกยูงล้มนี่เป็นอย่างงี้ จะเล่าให้ฟังย่อๆ เมื่ออาตมาเป็นนาคใกล้จะบวช มีเด็กสาวคนหนึ่งถูกทำ เขาทำกันด้วยวิชาการที่เรียกว่า

คุณคน ในวันแรกที่เธอมาเธอถูกหามเข้ามา แล้วอาตมาก็เป็นหมอรดน้ำมนต์ หลวงพ่อปานไม่เห็นว่าอะไร นั่งคุยโอ้ น้ำในตุ่มมีก็สั่งรดลงไปๆ

เด็กสาวคนนี้แกก็ดิ้น ยิ่งรดแกก็ยิ่งดิ้นหนักเข้าๆ แกก็ฉีกเสื้อขาดหมด อีตรงนี้ไม่ค่อยดีเหมือนกันนา เขาอายุ 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ เป็นคนขาว

ค่อนข้างสวย หมอก็ชักใจเต้นเหมือนกัน แต่เวลานั้นจะบวชตัดสินใจได้ว่าเราจะปฏิบัติในด้านเนกขัมบารมี คือหากไม่คิดอย่าง

นี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะคนมุงดูประมาณ 200 คน จะไปปลุกไปปล้ำแกน่ะมันไม่ถูก ตะรางแน่ เข้าใจว่าไม่ถึงตะราง ต้องโดนประชาทัณฑ์แน่

เมื่อแกฉีกเสื้อหมดแกก็ดิ้นไปดิ้นมาแล้วล้มฟุบ คว่ำลงไป คนก็มุงดูกันตอนฉีกเสื้อ ก็เห็นแล้วว่ามีแต่เนื้อกับหนัง แกไม่มีอะไรผูกมาด้วย หลวง

พ่อปานก็สั่งให้รดน้ำมนต์หนัก แกก็สงบจากการดิ้น หลวงพ่อปานสั่งใหญ่ รดใหญ่ ปรากฏว่าแกลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมามีมีดโต้ยาว มีสายตราสัง

ฆ์ผูก 3 เปลาะ หล่นเป๊งจากอกแกลงไป จะหาว่าแกซุกไว้ในเสื้อก็ไม่ได้ มีดโต้นี่ใหญ่มาก มีด้ามเหล็กไม่มีที่ซ่อนแน่ หลวงพ่อปานก็ให้คนนำมาแล้วก็

บอกว่านี่เขาทำมานะ ถ้าเด็กคนนี้อยู่ถึง 7 วัน ตายแน่ มีดมันจะขยายตัวเต็มที่ แล้วครั้งที่สองก็โดนอีก คราวนี้โดนเลื่อยตัดเหล็ก ครั้งที่ 3 โดนพวงตะปู

เล่าย่อๆ อาการเหมือนกันเมื่อถึงวาระที่ 3 แล้ว ต่อไปหลวงพ่อปานก็บอกทุกคน บอกว่าจงระมัดระวังให้ดี

นะ พระทุกองค์ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปหน้าต่างด้านทิศตะวันตกห้ามเปิด ได้ยินเสียงอะไรโป๊ะเป๊ะๆ ละก็อย่านะ อย่าทักเป็นอันขาด มันจะ

ทำคุณไสยมาใส่ตัว ก็เป็นอันว่าทุกองค์รับฟังแล้วก็ปฏิบัติตาม เป็นความจริงเพราะเวลาค่ำคืน เสียงหน้าต่างบ้าง หน้าจั่วบ้าง คล้ายๆ ของหนักขว้างมา

ถูก แต่เวลาตอนเช้าไปดูจะเป็นเศษดิน เศษหิน เศษอิฐ ก็ไม่มีทั้งนั้น ถ้าเป็นคนขว้างมาสิ่งเหล่านี้จะต้องตกอยู่ใกล้ๆต่อ มา คืนสุดท้ายเป็นวันเสาร์ หลวง

พ่อปานสั่งตีระฆัง ตอนเย็นป่าวหมู่เทวฤทธิ์ทั้งหมด บอกว่าวันนี้เขาเอาเราแน่ ทุกองค์มารวามอยู่ที่หน้ากุฏิฉันอย่าไปไหนเป็นอันขาด ปวดท้องขี้

ปวดท้องเยี่ยว ขี้เยี่ยวมันบนนี้ ห้ามไปนอกบริเวณกุฏิฉัน ตัวฉันไม่เป็นไร ฉันห่วงใยพวกเธอว่าจะมีอันตราย ก็เลยกราบเรียนหลวงพ่อปานว่า เขาจะทำ

อะไรขอรับ หลวงพ่อปานก็บอกว่าวีนนี้เขาฆ่าเราแน่ เขามุ่งเอาแน่ ไม่ใครคนใดคนหนึ่งเคราะห์ร้าย วันนี้โดน แต่ไม่เป็นไร ถ้านั่งอยู่หน้ากุฏิฉันไม่เป็นไร ก็

เลยรวมกันอยู่ที่นั่น เวลาประมาณ 2 นาฬิกา หลวงพ่อปานปลุก บอกนี่ เขาเริ่มจะลงมือแล้ว เขาตั้งพิธีแล้วนะ พวกเธอตั้งบารมีของพระพุทธเจ้าไว้ พุ

ทโธนะ อย่าลืม พุทโธเท่านั้นะ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ไม่ต้องว่าอะไรมาก นึกถึงบารมีพระพุทธเจ้าไว้จะปลอดภัย พวกเราก็ตั้งท่าเลย นั่ง

กรรมฐานกันหมด แทนที่จะนอนภาวนาเฉยๆ เมื่อนั่งกรรมฐานใจสบายพอจิตสงัด เสียงปี๊ดแหวกอากาศ คล้ายๆ ลูกกระสุนปืนใหญ่แหวกอากาศแต่มันดัง

มากกว่านั้น พอวี๊ดเข้ามาเสียงโพ๊ะ ทางด้านหน้าโบสถ์แล้วได้ยินเสียงต้นไม้ค่อยๆ ล้ม อย่างสุภาพ เมื่อเสียงนั้นหมดไปแล้วหลวงพ่อปานก็เรียกบอก

ปลอดภัยแล้วลูก เขาหมดฝีมือเท่านี้ แล้วท่านก็บอกว่าไปดูหน้าโบสถ์ซิ ฉันว่าต้นหางนกยูงล้มนะ ต้นหางนกยูงต้นนี้ โอบไม่รอบเกือบจะ 2 โอบ เห็น จะ

ได้ 2 โอบ ใหญ่มากมาก มันล้มแบบสุภาพจริงๆ ล้มไปทางด้านทิศตะวันออก พาดโคกโบสถ์ แล้วกราบเรียนถามหลวงพ่อปานว่าเขาทำด้วยอะไร หลวง

พ่อปานบอก ครกตำข้าว นี่ถ้าใครโดนเข้า ตายทันที ฉันจึงเกรงว่าพวกเธอน่ะ จะมีเคราะห์หรือปากไม่ดี ไปทักเข้ามันจะเข้าตัว อย่างนี้เขาเรียกกันว่าคุณ

คน ทีนี้เวลาเช้าก็ไปค้นกันดู ปรากฏว่าเจ้าครกลูกนั้นไปอยู่ในสระ แต่ว่าสระมันแห้งแล้ว หลวงพ่อปานท่านขุดเอาดินมาทำโคกโบสถ์ สระนั้นแห้งแล้ว ไป

ค้นได้ในวัดไม่เคยมีใครตำข้าวเมื่อเวลานั้นผ่านไป ความปลอดภัยมาถึงแล้ว แต่ก็ยังไม่ปลอดหมดอยู่มาอีกไม่กี่วัน ปรากฏว่าลาวคนหนึ่งเดินทางมาถึงที

วัดตอนเย็น แล้วเดินไปในป่าช้า ไปพบพระเข้า ก็ถามพระว่ากระท่อมที่เขาเอาไว้ผีว่างๆ มีไหม อยากจะอาศัยนอน บรรดาพระก็บอกว่ากุฏิว่างมีเยอะ

ศาลาก็ว่าง พักที่กุฏิพักที่ศาลาดีกว่า ลาวคนนั้นเขาบอกเขาไม่ต้องการ เขาต้องการจะนอนในป่าช้า เพราะว่าเขาต้องนอนในที่สงัด วิชาการที่เขาเรียนมา

นั้น เขาต้องนอนในที่สงัด พระก็ตามใจ ก็จัดหากระท่อมที่เขาเอาไว้ศพ และเขาเอาศพไปเผาแล้วซึ่งมีว่างอยู่ให้พัก เมื่อพักแล้วพระก็เอาเสื่อเอาหมอน

เอามุ้งตักน้ำไปให้ เขาก็คุยถึงหลักวิชาการ่า เขาดียังงั้นยังงี้ พระก็ชอบใจอยากจะเรียนกับเขา เขาก็บอกจะให้เรียน แต่วันนี้เรียนไม่ได้ เอาไว้วันหน้า ไว้

วันพฤหัสจะให้เรียน เมื่อถึงเวลาค่ำพระก็กลับ ทุกคนอยู่ในสภาพสงบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลา 2 ทุ่ม ไปหาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ไม่ได้ว่าอะไร

หลวงพ่อปานอธิบาย ธัมมะธัมโม วิธีปฏิบัติ ตำหนิความชั่วของพวกเรา ส่งเสริมความดีของพวกเราเป็นอันว่าทุกวัน ต้องโดนหลวงพ่อปานด่าเสียบ้าง

แล้วก็ชมบ้าง 2 อย่าง ทุกวัน แต่วิธีด่าของท่าน ท่านไม่ได้ด่าหยาบ ท่านด่าคนอื่น ด่าพระวัดอื่น ด่าคนอื่นแต่ว่ามันมาชนพวกเรา แต่ความจริงท่านไม่ได้

ไปเห็นใครเขาที่ไหน เห็นพวกเราทำไม่ดี ก็พูดว่า แหม ถ้าพระของฉันเป็นยังงั้น ฉันจะเสียใจมาก แต่ว่าพระของฉันดีนะ อย่างนี้เป็นต้น อย่างพระไปร้อง

เพลงที่ศาลาปรก ศาลาปรก คือศาลาไว้ผี สวดผี ศาลาสวดศพ อยู่ที่ป่าช้า เห็นพระร้องเพลง 2

องค์ ท่านไปส้วมท่านเห็นเข้า ท่านจำหน้าได้ แต่ท่านไม่พูด แล้วถึงเวลาวันประชุม วันโกน ถือเป็นการประชุมใหญ่ ทุกวันใครขาด ไม่ได้ ถ้าป่วยไข้ไม่

สบายจะต้องลา ท่านก็คุยบอกว่าท่านไป

วัดโน้น ไปตรวจงานก่อสร้าง ผ่านหน้าวัดๆ หนึ่งได้ยินเสียงคนร้องเพลง 2 เสียง แล้วท่านก็ถามคนแจวเรือ ว่าใครร้องเพลง คนแจวเรือเขา

บอกว่าพระ ถามว่าร้องที่ไหน คนแจวเรือก็บอกว่าที่ศาลาปรก ถามว่าวัดอะไร เขาก็บอก แต่ลืม ท่านว่ายังงั้น ลืมชื่อวัด แล้วท่านก็บอกว่าพระ

ร้องเพลงนี่นะ ฉันว่ามีความเลวยิ่งกว่าหมามาก หมาไม่มีการหลอกลวงคนอื่น ท่านว่ายังงั้น หมาน่ะไม่หลอกลวงใคร มันแสดงตัวเป็นหมาอยู่เสมอ แต่

พระไปร้องเพลงนี่เลวกว่าหมา คือจิตใจเป็นฆราวาส แต่ทำตัวเป็นพระหลอกลวงชาวบ้าน กินข้าวของชาวบ้านแล้วลงนรก หมาดีกว่าตั้งเยอะ กินข้าว

ของใครก็ไม่ลงนรก ชาวบ้านเลี้ยงหมา มี อานิสงส์ดีกว่าเลี้ยงพระร้องเพลง สบายใจไปเลย นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ปรากฏว่าพระร้องเพลงไม่มี ท่าน

ด่าพระวัดอื่นหรอกนะ ท่านไม่ได้ด่าพระที่วัด แต่ว่าชมพระที่วัดของท่านว่าดีจริงๆ ไม่มีอย่างนั้น ถ้ามีอย่างนั้นท่านจะเสียใจมาก นี่เป็นวิธีด่าพระของ

ท่าน พวกเราได้รับทั้งคำชมคำด่า ทุกวันเป็นปกติ สบายถ้าไม่ถูกด่าเสียบ้าง ไม่โดนชมเสียบ้าง ไอ้ชมนี่ไม่สบายใจเท่าไร ถ้าด่าเมื่อไรสบายเมื่อนั้น

มันชื่นใจ เพราะว่าจะมีโอกาสตัดความเลวลงไป แต่วิธีด่าของท่านก็ด่าแบบนั้นแหละ ด่าชาวบ้านชาวเมืองที่ไหนก็ไม่ทราบ ไอ้คนผิดนะไม่ได้ถูกด่า แต่

ว่ามันไปชนเข้าเองในเมื่อประชุมมาแล้ว ตอนหัวค่ำ ท่านพูดธัมมะธัมโมให้ฟัง ชมบ้าง ด่าบ้างตามปกติแล้ว พวกเราก็เข้ามานอน ท่านก็ไม่บอกยังไง ถึง

เวลาตี 2 มาแล้ว ตาเชิดมาปลุก ปลุกอาตมา บอกไปปลุกพระทุกองค์อันตรายเกิดขึ้นกับหลวงพ่อแล้ว เมื่อมีคำสั่งแบบนั้น ก็เข้าไปดู เห็นตะขาบตัวเบ้อ

เร่อมันนอนอยู่ ท่านก็เลยรายงานว่าลาวมันทำฉัน ไปปลุกพระเร็ว ประชุมกันด่วนตี 2 แล้วนี่มานั่งปลุกกันยังไง พ่อเจ้าประคุณนอนหลับก็ไม่ค่อยตื่น แต่

วิธีตื่นง่ายมีอย่างหนึ่ง คือตีระฆังผิดเวลา พวกนี้ไม่ได้พร้อมเสมอ ถ้าเป็นทหารเขาเรียกว่าเตรียมพร้อมอันดับหนึ่งตลอดเวลา ก็เลยย่อง ไปนวดระฆังเข้า

ให้ระฆังใหญ่ เสียงประตูเปิดโครมครามๆ วิ่งตึงตังๆ ต่างคนต่างถือเหล็ก คือขวานถือค้อนมาตามๆ กัน คิดว่าอันตรายเกิดแก่วัด เขามาที่ระฆังถามว่าตี

ระฆังทำไม บอกหลวงพ่อให้ตีโว้ย ข้าไม่รู้หรอก โน่น เรื่องของเรื่องจะรู้เรื่องก็ไปที่หลวงพ่อ ไป ไปกันเดี๋ยวนี้ เร็วด่วน หลวงพ่อต้องการพบ

ด่วน ทุกองค์ก็ไปขัดเขมร ไม่ได้เรียบร้อยหรอก เตรียมตีกันแล้ว เตรียมรบเพราะเขารักหลวงพ่อมาก เขาเคารพหลวงพ่อมาก เกรงว่าอันตรายจะเกิดแก

หลวงพ่อ อาวุธที่เขาถือมานั้นไม่ใช่อะไร มันเครื่องมือทำงาน พวกค้อนบ้าง พวกสิ่ว พวกขวานอะไรพวกนี้แหละ เครื่องมือทำงานทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่

เครื่องมือสำหรับรบ แต่มันก็ใช้ได้เมื่อยามจำเป็นพอเข้าไปถึงหลวงพ่อแล้ว เขาขัดเขมรไม่มีอังสะ ท่านก็ไม่ว่ายังไง บอก เอ้า พวกเรามาดูอะไร

นี่แน่ะ ท่านมีตะเกียงลานอยู่ 3 ลูก ท่านไขจ้าจุดสว่าง บอกว่าเห็นอะไรไหม ก็

มองดูตะขาบตัวใหญ่ พระทุกองค์ก็ถามว่าตะขาบตัวใหญ่มันมายังไง ท่านก็ถามว่า เมื่อตอนเย็นนี้ มีลาวมาพักที่ป่าช้าบ้างหรือเปล่า ทุก

องค์ก็บอกว่ามี เพราะต่างองค์ต่างก็รู้ บอกว่าไอ้ลาวคนนั้นมันทำฉัน มันจะปล่อยตะขาบให้กัดฉัน แล้วเข้าไปในตัว ถ้ากัดเข้าแล้วพวกเธอ

แก้ไม่ทันหรอก ฉันตายแน่ ก็เลยเรียนถามท่านว่าทำไมตะขาบมันไม่กัดหลวงพ่อเล่าขอรับ บอกจะกัดยังไงเล่า ฉันรู้ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ฉันก็

เลยไม่หลับ ตั้งท่า มันก็มาได้แค่เส้นนี้ ก็เห็นเส้นที่ท่านขีดด้วยชอล์คพอดี ท่านก็ชี้ให้ดูว่ามันจะมาได้แค่นี้ มันจะเข้าไปอีกไม่ได้ ตะขาบตัวนี้

ถ้ากัดใครเข้าก็ตาย บวมทั้งตัว ดีไม่ดีก็เข้าไปอยู่ข้างใน เขาต้องการให้กัดเป็นพิษด้วย แล้วก็เข้าไปในตัวเราด้วย เราก็จะตายทันที พระทุก

องค์ถืออาวุธอยู่แล้ว เครื่องมือทำงาน ตั้งท่าฮึดฮัดจะไปจัดการกับเจ้าลาว ท่านก็เลยโบกมือบอกว่าไม่ควร เราเป็นพระ ทำยังงั้นไม่ได้ ช่าง

เขา มันเป็นกรรมของเขานะลูกนะ มาปรึกษากันยังงี้ดีกว่า ถ้าเราทำเขาเราก็บาป แต่ไอ้ของเขาเราส่งคืนเขานี่เราไม่บาปนะลูกนะ มันของๆ

เขา เราจะคืนเขาดีไหม ทุกองค์ก็พร้อมใจบอกว่าควรคืน แล้วก็หลายองค์บอกว่า คืนแล้วให้มันตายไปเลย ท่านก็ยิ้ม ตายไม่ได้หรอกลูก

เราตั้งใจให้ตายไม่ได้ เราบาป ศีลขาด ถ้าเราคืนเขาไปแล้ว เขาจะตายหรือไม่ตายมันก็เป็นเรื่องของเขานะ เจตนาเราตั้งใจเฉพาะ คืน ทุก

องค์พร้อมใจกันว่าควรทำแบบนั้น ท่านก็เอาหวายวนกลับ มันขดอยู่นี่ ก็วนทวนมา วนทวนมาแล้วก็ปรากฏว่าเจ้าตะขาบเหยียดตัวตรง เมื่อ

เหยียดตัวตรงท่านก็เอาหวายเคาะกระดาน 3 ที เสียงกั๊กกั๊ก กั๊ก พอกั๊กที่ 3 เจ้าตะขาบวิ่งปรื๊ด หายไป ทั้งๆ ที่มีฝา หน้าต่างก็ปิด หาทาง

ลอดไปไม่ได้ ตัวมันใหญ่ขนาดแขน ไม่ทราบว่ามันไปยังไงในเมื่อ มันไปแล้วท่านก็สั่ง รีบเข้าไปในป่าช้าด่วน ไปหามเจ้าลาวมาเดี๋ยวมันจะ

ตาย นั่นเป็นยังงั้น ถ้าเป็นอย่างพวกเราละก็ปล่อยให้มันเป็นผีไปแล้ว นี่หลวงพ่อปาน พวกพระก็วิ่งไป ตะเกียงถือไป ตะเกียงรั้ว ที่ไหนได้

แผล็บเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าเจ้าลาวนอนครวญคราง ตัวใหญ่เบ้อเร่อ ไม่ใช่ตัวอะไรใหญ่ ตัวลาวมันใหญ่ มันบวม หามเอามา หลวงพ่อปาน

ก็สอบสวนว่าเอ็งทำตะขาบมาใช่ไหม มันก็รับว่าใช่ ท่านก็เลยบอกว่า ฉันไม่ได้ทำเธอ นี่ฉันส่งกลับไปให้เธอ เธอไม่เก่งจริงเลย ท่านก็ถาม

ว่าจะให้รักษาไหม เขาก็บอกว่าขอให้รักษา ท่านบอกว่ารักษาก็ได้ แต่ต้องสัญญาก่อนว่า 1. ต้องเลิกให้วิชานี้ 2. ต้องยอมบวช 3. ต้อง

เจริญพระกรรมฐาน ทำได้ไหม ทีแรกมันเสียใจ บอก บวชได้ ทำ กรรมฐานได้ แต่วิชานี้ขอให้ทำต่อไปได้ ท่านบอกถ้าต้องการทำวิชานี้ต่อไปก็เชิญ

ตาย เชิญปวดไป ฉันไม่แก้ ในที่สุดมันปวดหนักเข้ามันก็ยอมแพ้ บอว่ายอมเลิก

หลวงพ่อปานก็ให้พระสวดมนต์บทหนึ่ง สวดอะไรจำไม่ได้ พอสวดจบท่านก็บอกว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป วิชาของเธอที่เรียนมาในด้านไสยศาสตร์ฉัน

ถอนหมดแล้ว เธอใช้อะไรไม่ได้อีก จงตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ทำบุญทำกุศล บวชแล้วเจริญกรรมฐาน แหมมันร้องไห้เสียเกือบแย่ แล้วท่านก็ให้การ

รักษา ทำน้ำมนต์ให้มันดื่ม พอดื่มเสร็จประเดี๋ยวเดียวสัก 5 นาทีก็ปวดอุจจาระ การปวดก็คลายตัวไป พอไปถ่ายอุจจาระ แทนที่อุจจาระธรรมดาจะออกมา

กลายเป็นโซ่ขนาดย่อม หล่นลงไปข้างล่างปริ๊ด เสียงถ่ายดังสนั่น แต่สิ่งที่ออกไปไม่มีอุจจาระเลย กลายเป็นโซ่ทั้งเส้น หลวงพ่อปานก็ให้พระคีบมา เอา

มาดู ถามว่านี่โซ่ที่เธอเตรียมมาทำฉันใช่ไหม มันก็รับว่าใช่เป็นอันว่าวันรุ่งขึ้นก็บวช พอบวชแล้วลาวคนนี้ ภายในพรรษาเดียวก็สำเร็จอภิญญา 6

ด้านฌานโลกีย์นี่ แหละท่านผู้ฟัง วันนี้รู้สึกว่าได้เรื่องมากเรื่องด้วยกัน เอาเรื่องเบ็ดเตล็ดมาเล่าให้ฟัง ไอ้การเล่านี่มันก็แสลงกับโรคกระเพาะเหมือนกัน

รู้สึกว่าอาการเครียดเกิดมาก จะรีบเลิกเสียเรื่องมันไม่จบก็ทนเอา ไปหาหมอให้ช่วยรักษาเอา แต่ทว่าไม่ช้าก็ต้องพยายามให้จบ เพราะว่าอะไร เพราะว่า

ร่างกายมันชักจะไม่ค่อยดีแล้วเอาหล่ะสำหรับวันนี้เหลืออีก 2 นาที ก็หมดเวลา วันนี้ก็เป็นอันว่าหมด

กันแค่นี้นะ ขอลาก่อน ขอควมสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูลผล จงมีแด่ทุกคนที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี


ที่มา http://www.watpanonvivek.com

 เจ้าของ| snoopy โพสต์เมื่อ 16-3-2012 09:51 | แสดงโพสต์ทั้งหมด
กรมหลวงชุมพรฯ ตามสาว



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มีโอกาสมาพบกับบรรดาท่านพระพุทธบริษัทในเรื่องของ กรมหลวงชุมพรฯ ตามสาว
กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เมื่อท่านพ้นจากความเป็นคนไปแล้ว ปรากฏว่าไปเป็นเทวดาจาตุมหาราช แล้วต่อมาก็เป็นเทวดา ขั้น อินทกะ จาก อินทกะ แล้วก็มาเป็นท้าวมหาราช คือ.....ท้าววิรุฬหก ในปัจจุบัน
เทวดาที่รักษาวัดท่าซุง
ทีนี้ก็ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่งว่า เทวดาที่รักษา วัดท่าซุง ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ ที่ปรากฏว่าท่านประจำอยู่ที่แถว พระเจ้าพรหมหาราช ในบริเวณ เห็นทีใกล้ๆ แท่น พระเจ้าพรหมหาราช ท่านเทวดาองค์นี้ กุมภัณฑ์ เป็นลุกศิษย์ของ ท้าววิรุฬหก
ก็เป็นอันว่า ท่านนั่งอยู่ใกล้ๆ กับรูปหล่อของ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็นเทวดา ขั้นอินทกะ
อินทกะ ก็หมายความว่า เป็นผู้บังคับบัญชาการนะ อาจจะเป็นผู้บังคับบันชาการนะ อาจจะเป็นการบัญชาเหล่าทัพเหล่าใดเหล่านั้นเอง
เหตุที่บนแล้วไม่มีผล
ก็ขอคุยต่อไปนี้ถึงเรื่องของ กรมชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ตอนที่ท่านตามสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบนกรมหลวงชุมพรฯ เท่าที่เห็นประจักษ์จริงๆ คือ ตามคนที่หายไป ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด เป็นอย่างไรก็ตาม
เมื่อบนแล้ว 3 วัน พบทุกทีกลับบ้านทุกที แต่ทั้งนี้ก็ต้องขอบอกว่า
ถ้าบางคนไม่สามารถจะมาได้ คือ
(1) ตาย
(2) ถูกกักขัง
(3) ทุพพลภาพ
อย่างนี้คงมาไม่ได้ และท่านบอกว่า ถ้าหากเป็นทุพพลภาพก็จะมีใครคนใดคนหนึ่งส่งข่าวให้ทราบว่า และมีโอกาสจะไปรับได้ แต่ทว่าการบนเทวดาบรรดาท่านให้ผู้ฟัง ต้องเข้า ต้องเข้าใจว่า
ความสามารถของเทวดา ก็มีความจำกัดเหมือนกัน ก็มีสิ่งบางอย่างเกินขอบเขตของท่าน
ฉะนั้น การบนต้องรู้เรื่องกัน จะต้องบนเฉพาะกิจ อย่าบนให้เปรอะไปทุกสิ่งทุกอย่าง เทวดาทำไม่ไหว ก็เลยไม่ทำให้ แล้วเวลาบนจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ระเบียบของการบนกรมหลวงชุมพรฯ
สำหรับ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์เวลาบนต้องถวายเครื่องสังเวยก่อน เมื่อได้รับผลสมบูรณ์แบบแล้วการถวายอีกครั้งหนึ่ง
นี่เป็นระเบียบของการบน ขอซ้ำอีกนิดหนึ่งว่า การบน คือ
(1) ข้าวปากหม้อ 1 ถ้วย
(2) หมูต้ม 1 ชิ้น
(3) ไก่ต้ม 1 ตัว
สำหรับหมูต้มกับไก่ ถ้าคนมีสตางค์หน่อย หมูต้มใช้ไม่น้อยกว่าครึ่งกิโล แล้วไก่ ต้มต้องใช้ไม่น้อยกว่าหนึ่งตัว 1 ตัว
ถ้าคนที่จนๆ มีสตางค์น้อย หมูต้มใช้ชิ้นเล็ก ก็ได้ แล้วก็ไก่ต้มไม่ถึงตัว ใช้ชิ้นเล็กๆ ก็ได้ และไก่ต้มไม่ต้องถึงตัว ใช้ชิ้นเล็กๆ ก็มี และมี ขนมจีนน้ำพริก ของหวานก็มี ทองหยิบ ฝอยทอง เท่านี้เอง
เวลาบนหรือ เวลาแก้บน เวลา เช้า ให้ใช้เวลาก่อน 2 โมงเช้า 10 นาที
ถ้าตอน บ่าย ให้ใช้เวลาก่อนบ่าย 3 โมงเย็น 10 นาที
ก็เป็นอันว่าว่า ขอเล่าเรื่องของท่านต่อไปในเรื่องในการตามสาว อย่าลือว่า รายการนี้เป็นรายการธรรมะ จะขอนำธรรมะกลั้วเข้ามากับเรื่องนิทาน ขอบรรดาท่านผู้ฟังอย่าลืมว่านี้คือนิทาน นิทานตอนนี้เรื่องเป็นเรื่องจริง แต่จะการเห็นจะจริง หรือไม่จริงก็ไม่ทราบถือว่าเป็นนิทาน ก็เป็นอันว่า วันหนึ่ง ในเวลานั้นอาตมากำลังมาแจกของแก่ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ก็ไปจากวัดเสียเดือนเศษ
มีโยมที่ลูกสาวหายไปมาขอให้ช่วย
พอกลับมาถึงวัด ก็มีคนที่รู้จักกันจริงๆ เวลานั้นเธอยอมรับนับถือไปมาหาสุ่เสมอ เป็นผู้ชาย มากับบรรดาญาติหลานคน ผู้หลายคนนี้รูปร่างอ้วนๆ ผิวขาว มาถึงเธอก็รายงานให้ทราบ
แต่อันดับแรกขอบอกก่อนนะ เธอมาถึงตั้งแต่ตอนบ่าย เวลานั้นไม่มีเวลาพบกัน
เวลากลางคืน ลงสอนพระกรรมฐาน เธอก็ลงมือปฏิบัติเธอก็รายงานให้ทราบว่า
ลูกสาวของผมหายจาก บ้านไปเกือบ 2 เดือน ผมใช้เวลาตามมาเดือนเศษ สิ้นเงินค่าตามไป 2 หมื่นบาทเศษ ยังไม่พบ อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า เวลานี้ลูกสาวผมอยู่ที่ไหน ? เธอยังมีชีวิตหรือว่าตายไปแล้ว ? ถ้ามีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ? ถ้ามีชีวิตอยู่จะกลับบ้านเมื่อไร ? ถ้าเธอกลับเองไม่ได้ จะหาวิธีใดให้กับเธอกลับ ?
ความจริงเขาก็ถามตามเหตุผล บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาฟังแล้วก็คิดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเกินวิสัยของเรา เราไม่สามารถจะจัดการได้
ถ้าจะถามว่ารู้ไม่ ก็ต้องตอบก็ไม่รู้
ถามว่าใช้กำลังสมาธิดูให้ได้ไหม
กำลังสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท
มันต้องใช้เวลาที่เราวางใจ เวลาเราเหนื่อยๆแบบนั้นมันก็ไม่แน่เหมือนกัน ถึงแม้เวลาสงัดก็จริงมันก็ไม่แน่ เพราะว่าสมาธิชั้นสวะของอาตมา มันก็ผิดบ้างถูกบ้างเป็นของธรรมดา
สรุปขอคิดจากธรรมะ
ถ้าเขาถามมานี้ไม่แน่นักถ้าเกิดความรู้สึกขึ้นเองนี่แน่นอน เพราะเวลาเขาถามมาบางทีมันเหนื่อย เลยไม่รู้เรื่อง ก็เลยบอกเขาว่า
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่าถามฉันเลยนะ เพราะฉันกับคุณความจริงมันก็ไม่ดีกว่ากัน มันก็เป็นคนเสมอ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือกัน มีความเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน ไม่ดีกว่ากันเลย แล้วก็ในที่สุดก็เรียกว่า ร่างกายเสมอกัน
สำหรับด้านจิตใจ ในเมื่อมีชีวิตอยู่อย่างนี้มันก็ไม่ต่างกัน ก็มีความรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน แล้วสิทธิของเราก็ไม่ต่างกัน สิทธิก็คือว่า
มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และสิ่งที่จะเกิดตามมาก็คือแก่ นอกจากแก่ก็มีป่วย นอกจากป่วยก็มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ในที่สุดเราก็ตาย.
เวลานี้คุณต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คือ ลูกสาวหายไปจากบ้าน
ฉันเองก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีพ่อแม่ตายไปนานแล้ว แล้วก็มีน้องสาวคนเล็กอีกคนหนึ่งตายไปนานแล้ว ทั้งหมดทั้ง 3 คน ก็เป็นคนที่รักที่เคารพของรัก เรามีสภาพเหมือนกัน
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อันนี้เป็นธรรมมะในท้องเรื่อง จำไปเลยนะ จะไม่ลงธรรมะในตอนท้าย เอาตอนนี้ก็แล้วกัน
ก็รวมความ คนที่เราที่เกิดมา คนก็ดีสัตว์ก็ดี มีสภาพเหมือนกันอย่างนี้ทั้งหมด
ต่อไปก็ขอแนะนำเธอว่า
เอาอย่างนี้ซิคุณ ตอนรุ่งเช้าขึ้นเช้า คุณทำวัดที่นี่ก็ได้ เพื่อความมั่นใจ บน กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ แต่เป็นการบนต้องคิดว่าสิ่งทั้งหลายแหล่ทั้งหมด มันอาจจะสิ่งที่เกินวิสัยก็ได้แต่ทว่า กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ นี้เท่าที่เขาบนตามคนกันไม่เคยพลาด แต่ว่าทั้งนี้ คุณต้องยอมรับนับถือท่านจริงๆ นะ
พอบอกเท่านี้ เขาก็บอกว่า สมเด็จกรมหลวงชุมพรฯ นี่ ผมเคารพมากครับ
ก็เลยบอกว่า ถ้าคุณเคารพอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นบุญใหญ่
เข้าถามว่า มีเครื่องอะไรบ้าง ?
ก็บอกว่า คุณจัดข้าวปากหม้อ 1 ถ้วยกับหมู 1 ชิ้น เวลานี้คุณไม่อยู่บ้านฉันก็กะเกณฑ์ได้ ถ้ากะเกณฑ์ คุณมีฐานะดี ก็ควรจะใช้ชิ้นละไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล แล้วก็ไก่ 1ชิ้น หมูชิ้นเล็กก็ได้ ถ้าหากว่าทุนน้อย ต่อไปก็ใช้ขนมจีนน้ำพริก 1 ก็ได้ คุณตั้งโต๊ะ เอาโต๊ะที่กุฏิฉันทีมาตั้งเข้าแล้วเอาผ้าขาวปู เอาแจกันดอกไม้วางเข้ากลางโต๊ะ เอาเครื่องจุดธูปจุดเทียนมาวางเข้า แล้วก็บนท่าน ถวายพร้อมกันว่าเลยนะว่า ขอถวายพร้อมกันเลยนะว่า ขอถวายเครื่องการสักการบูชา กรมหลวงชุมพรฯ กับคณะ รวมทั้งคณะด้วย เพราะท่านมีลูกศิษย์มาก ถ้าหากไม่เกิดวิสัย ลูกสาวผม (ชื่อนี้) เธอหายไปประมาณวันที่เท่านั้น เอาประมาณกัน อาจจะไม่แน่นอน ถ้าไม่เกิดวิสัย 3 วันไม่ทัน จะกี่วันก็ได้ ขอให้กลับมาเร็วๆ ต้องให้เวลาท่าน
พอวันรุ่งขึ้น เขารีบไปตลาดแต่ตอนเช้าปรากฏว่าเวลาก่อน 2 โมง 10 นาที เขาทัน ทุกอย่างเขาต้มมาจากตลาด มาถึงก็ตั้งโต๊ะก่อนเวลา 2 ชั่วโมง10 นาที ประมาณ 15 นาที เขาก็เริ่มจุดเทียน
เขาบอกว่า เวลายังเหลือเกินกว่า 10 นาที นาทีจะทำได้ไหมครับ?
ก็บอกว่า จะทำได้ไหมครับ ?
ทำได้เขาก็บน ถวายเครื่องสังเวย แล้วก็บอกว่า ถ้าลูกสาวกลับ จะถวายใหม่
เมื่อเขาก็บนท่านเสร็จ เขาก็ลากลับบ้าน เมื่อกลับบ้านไปแล้วไม่นาน ประมาณสัก 5 วันเศษ หรือ 5 วัน ไม่กิน 5 วันนะ จำไม่ได้ถนัด มันหลายปีมาแล้ว ก็ปรากฏว่าบุคคลคณะนี้กลับมาอีก ขอประทานอภัย ลืมบอกไปว่า เจ้าภาพชุดนี้อยู่ อำเภอโพธิ์ทะเล จังหวัด พิจิตร คณะนี้ก็เดินทางกลับมาอีก มาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาเธอก็ดี ผิวขาวท้วมๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
และท่านพ่อก็รายงานบอกว่า
ลูกสาวคนนี้แหละครับ ที่หายไปจากบ้าน หลังจากผมบน กรมหลวงชุมพรฯ แล้วกลับบ้าน จากวันบนมาถึง กรมหลวงชุมพรฯ แล้วกลับไปที่บ้าน จากวันบนมาถึงแล้วกลับไปที่บ้าน จากวันบนถึงวันเด็กกลับมาเป็นเวลา 3 วันพอดี เด็กกลับบ้านตอนเย็น
อาตมาก็ลองถามว่า หนูไปอย่างไรมาอย่างไรลูก ถึงได้ไปบ้านแล้วไม่ยอมกลับ?
เหตุที่ต้องออกจากบ้านไป
เธอก็เล่าความเป็นมาอย่างนี้ บรรดาท่านผู้ฟัง ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด คิดแล้วก็อย่าตำหนิกันเพราะมันเป็นกฎแห่งกรรม
เธอบอกว่า ตามปกติเธออยู่บ้าน ตลาดที่ใกล้บ้านที่สุดคือ ตลาดโพธิ์ ตลาดทะเล
อำเภทโพธิ์ทะเล นี้ ความจริงแม้แต่ตลาดเธอก็ไม่ค่อยได้ไปกับเขา เพราะเป็นเด็กที่ไม่อยากไปไหน อยู่กับบ้านถ้าจะกล่าวไปก็เป็นเด็กชอบรักษาประเพณีตามแบบโบราณ แต่ความจริงหญิงสาวรักษาประเพณีตามแบบโบราณ แต่ความจริงหญิงสาวรักษาประเพณีอย่างนี้ผู้ฟัง จะเป็นเวลาสมัยก่อนก็ตามสมัยปัจจุบันก็ตาม สมัยหน้าก็ตาม ถ้ารู้จักเก็บตัวอย่างนี้ เป็นหญิงที่มีราคามีค่าสูง เพราะ ใครๆ ก็ต้องการถือว่าเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นคนเรียบร้อย เพราะการจะแต่งงานก็ต้องดูเบื้องหน้าเบื้องหลัง วันนี้ดี วันหน้าจะดีไหม
ถ้าหากว่าแสดงอาการคล่องตัวเกินไป คนก็ไม่ค่อยไว้วางใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นว่าเป็นคนไร้ค่า ราคาถูก ซื้อเมื่อไร วางเมื่อไร ก็ได้เมื่อนั้น ไม่แปลก แต่ว่าสงบเสงี่ยมเก็บตัวแบบนี้ คนต้องการแล้วมีการหวงแหน
นี่พูดตามความรู้สึกของอาตมาที่เป็นชายและก็เป็นชายที่รู้จักสร้างตัวทุกคนก็มีความรู้สึกเหมือนกัน บอกว่าถ้าฉูดฉาดเกินไปเราก็เห็นของไร้ค่า ฉูดฉาดมาก็ฉูดฉาดไป ได้มาแล้วก็ได้ใหม่ ได้ใหม่เราก็วางใหม่ วางแล้วก็ได้ใหม่ มันเป็นของไม่ยาก
และท่านผู้นั้นก็ไม่ถือตัว ท่านถือว่าจับหรือวางก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็เลยกลายเป็นไร้ค่าไป
ขอเล่าเรื่องของเธอต่อไป เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งพ่อกับแม่ไปนา เธออยู่ที่บ้านคนเดียว จะว่าอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ มีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเป็นคนแก่อยู่บ้านด้วย ก็มีเพื่อนสาวข้างๆๆบ้าน เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เธอมานัดแนะกับผู้ชายว่าจะไปกินร่วมกัน แทนการแต่งงานปกติ เขาเรียก วิวาห์คนธรรพ์ คือจะพากันไป แต่เขาก็ไม่บอกเธอ
เป็นอันว่า คนนี้ก็อยู่บ้านเหมือนกัน พ่อแม่ไปไถนา เขาก็มาชวนเธอบอกว่า
ไปเที่ยวตลาดกันไหมล่ะ? ไปซื้อของเล็กๆน้อยๆประเดี๋ยวก็กลับ
เธอเห็นว่าเป็นเพื่อนบ้าน ปกติก็ไม่มีอะไร เป็นคนที่น่ารักชอบพอกันกันมาก ก็ไปลาผู้ใหญ่ที่เฝ้าบ้านอยู่ด้วยกัน ก็ไปบอกว่า
ฉันจะไปตลาดกับเพื่อนสักครู่หนึ่งประเดี๋ยวจะมา
ท่านผู้ใหญ่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร ก็บอกว่าไปเถิด ป้าอยู่บ้านเอง
ครั้งเมื่อเธอไปถึงตลาดไปถึงตลาด ไปถึงก็มีผู้ชายอยู่ 2 คน นั่งอยู่ที่ตลาดแล้ว ไปเจอะเพื่อนหญิงเข้า เธอก็มาทักทายปราศรัย เขาก็คุยกันเบาๆ ฟังไม่รู้เรื่อง ประเดี๋ยวหนึ่ง เขาก็สั่งอาหารมาเลี้ยง เขาก็เลี้ยงเธอด้วยทั้ง 4 คนก็กินกัน กินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปเดินมา ประเดี่ยวหนึ่งก็มีรถแท็กซี่ คือรถยนต์เล็กๆ รถเก๋งมาจอด
ชาย 2 คนก็บอกกับเพื่อนว่า
เราจะไปเที่ยว จังหวัดพิจิตร กันไหมล่ะ? ไปเที่ยวตลาดโน้น...
เพื่อนนี่ความจริงเขานัด เขารู้กันอยู่แล้วก็บอกไปว่า เขาก็ชวนเธอไปด้วย
เธอก็บอกไปไกลนักไม่ได้หรอกประเดี๋ยวป้าจะบ่น พ่อกับแม่จะมา
เขาบอกว่า ไม่เป็นไร เราไปรถพิเศษเหมาไป ประเดี๋ยวเดียวก็กลับ
ก็เลยนั่งรถไปกับขา เป็นอันว่า ชาย 2 หญิง 2 เมื่อนั่งรถไปกับเขาถึงจังหวัดพิจิตร เมื่อเดินมาประเดี๋ยวเดียวเขาก็พาขึ้นรถโดนสารเป็นรถยนต์ สมัยนั้นยังไม่มีรถทัวร์ เป็นรถประจำทาง เขาพาขึ้นไป ถามเขาว่าจะไปไหน เขาก็บอกว่าเราจะกลับ อำเภทโพธิ์ทะเล (นี่มันต้มกันง่ายๆ) เรียกว่าไม่ต้องต้มเลยนะสุกอยู่แล้ว เพราะเป็นคนไม่เคยไปไม่เคยมาเธอนั่งรถไปกับเขา แต่แทนที่รถจะวิ่งเข้า อำเภทโพธิ์ทะเล กลับวิ่งลง นครสวรรค์แล้วก็เรื่อยไปกรุงเทพฯ เธอก็จนใจ เพื่อนหญิงบอกไม่เป็นไร เราเที่ยวกรุงเทพฯ กันเดี่ยวเราก็กลับ พอถึงกรุงเทพฯ แล้วเค้าก็พาขึ้นรถแท็กซี่ไปสถานีสายใต้ จากสายใต้ก็ไปจังหวัดสุพรรณบุรี
ก็เป็นอันว่า เธอมีจำใจต้องกับเขา เสื้อผ้ามีชุดเดีมยวแต่เพื่อนหญิงเขาเตรียมพร้อม สำหรับเพื่อนหญิงนั้นเสื้อผ้าฝากไว้ร้านค้าที่รู้จักกันไว้ ก็เป็นอันว่าเธอก็ใช้เสื้อผ้าของเพื่อนและต่อมาชายหนุ่มได้ซื้อเสื้อให้เธอใช้ไปพักที่ จังหวัดสุพรรณบุรี แต่ไม่ใช่ตัวเมืองเป็นเขตของ อำเภอเมืองบางปลาม้า เมื่อเธออยู่ที่นั้น มันเหงา เคยอยู่บ้านไม่เคยไปไหน และไปที่นั้นก็ไม่รู้จะไปไหน และที่นั้นก็ไม่รู้จะไปเที่ยวไหน ก็มีเพื่อนหญิงที่ไปด้วย เจ้าของบ้านก็ใจดี ก็ช่วยเจ้าบ้าทำโน้นบ้าง ทำนี่บ้าง ตามปกติ
เมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือนเศษในช่วงนั้น เธอบอกว่าคิดถึงบ้านแต่ไม่รู้จะกลับอย่างไร เห็นรถวิ่งผ่านหลังบ้านก็ไม่ทราบว่า รถยนต์จะวิ่งไปไหน เขาเขียนว่า กรุงเทพ-สุพรรณบุรี ครั้นจะมากรุงเทพฯ คนเดียวก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนอีก เมื่อเข้าถึง กรุงเทพแล้วก็งงเต็มทีแล้ว บ้านเมืองมันกว้างรถก็มาก ทิศทางไปไหนก็ไม่ทราบ
ต่อมาเธอบอกว่า วันหนึ่ง ขณะที่อยู่คนเดียว นั่งเพลินๆ อ่านหนังสือบ้าง ทำงานเล็กน้อยบ้าง เรียกว่า อยู่บ้านท่านอย่างนิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น ตามคติโบราณ ก็ช่วยเจ้าของบ้านทำตามปกติ เท่าที่สามารถจะทำได้ เห็นรถยนต์มาแต่ไกล มีความรู้ว่าอยากจะกลับบ้าน รถยนต์คันนี้จะไปกรุงเทพฯ ไปถึงกรุงเทพแล้ว เราไม่รู้ทิศทางจะไป แต่ว่าคิดว่ากลับได้ เราจะได้บอกกลับเขาว่า เราจะกลับ จังหวัดพิจิตร คงมีรถยนต์มาช่วยเราได้ ส่งให้ขึ้นรถยนต์มา จังหวัดพิจิตร ได้ เธอตัดสินใจเอง ซึ่งทุกวันไม่เคยมีอารมณ์อย่างนั้น และตอนนั้นหนูสตางค์ไหม? เธอก็บอกว่าระยะนั้นหนูมีสตางค์ติดตัวอยู่ 500 บาทเมื่อเธอตัดสินใจแบบนั้นแล้ว ก็ไม่มีการเตรียมการอะไรทั้งหมด เมื่อรถยนต์เข้ามาใกล้ ก็วิ่งไปจากบ้านก็ไม่มีใครติดตามทวง มาถามมาปราบ ทุกคนยืนกันเฉยๆ แล้วก็ยิ้ม ทุกคนนั่งดู ต่างคนต่างยิ้ม เธอไม่ทราบเหมือนกันว่า เขายิ้มเพราะอะไร
ในที่สุดเธอขึ้นรถยนต์ รถยนต์ก็มาจอดที่สถานีรถยนต์สาตใต้ ขณะที่เธอนั่งในรถยนต์เธอมีความรู้ว่า ในเมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้ว เราจะไปอย่างไร เวลานั้นไม่มีความรู้สึกอะไร เราจะไปอย่างไร เวลานั้นไม่ความรู้สึกอะไร วิตกว่ากรุงเทพฯ นี่เขาว่ากรุงเทพมันใหญ่โตกว้างขวางมาก จะไปอย่างไร แต่คิดว่าถ้าถึงกรุงเทพฯ เราพอมีสตางค์ จะเหมาแท็กซี่ให้เขาไปส่งรถโดยสารที่จะไป จังหวัดพิจิตร เธอได้ตัดสินใจตามนั้น ก็นั่งเฉยๆหรอกคิดเรื่อยมา
แต่ก็น่าอัศจรรย์ เมื่อรถยนต์ถึงสถานี รถยนต์สายใต้ รถยนต์จอด เขาก็บอกว่า มาถึงสุดทางแล้วครับ ลงได้ครับ ทุกคนก็ต่างพากันลง เธอก็ลง ลงอย่างคนที่ไม่รู้จะไปไหน แต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมากที่สุด พอลงมาแล้ว เดินไปได้ 2-3 ก้าว ปรากฏว่าพบพี่ชายยืนอยู่ตรงนั้น พอเห็นพี่ชายก็ดีใจ โผเข้าไปกอดพี่ชายถามพี่ชายถามว่า
พี่มาได้อย่างไร?
พี่ชายก็ตอบว่า พี่มาตามน้อง แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าน้องอยู่ที่ไหน ? เมื่อคือนี้อยู่ก็พักที่ พักที่วัด วัดใกล้ๆ แต่วันนี่อยากจะมาที่นี่ คิดว่าบางทีน้องอาจจะมาบ้าง หรือมาไม่มาก็นั่งดูคนแก้ กลุ้มดูคนขึ้นรถลงรถ แต่ก็บังเอิญพบคนน้องพอดี
เป็นอันว่า พี่และน้องต่างคนต่างดีใจ เธอก็หมดทุกข์ พี่ชายก็มีสุขเพราะพบน้องเพราะพบน้อง พบเธอมีสุขเพราะพบพี่ ในที่สุดพี่ก็บอกว่า
ไปกินข้าวเถิดน้อง
ก็พาน้องไปกินข้าว ความดีใจของพี่ก็บอกว่า อย่าเพิ่งไปบ้านกันเลยวันนี้ ถ้าเราจะไปก็ไปทันแต่มันจะค่ำ ค้างกรุงเทพฯ เสียก่อน ค้างกับพี่ พี่อาศัยกุฏิพระอยู่ แต่ว่าก่อนจะไปกุฏิพระ ไปดูหนังกันก่อน
น้องสาวก็บอกว่า เครื่องแต่งตัวได้ไม่เปลี่ยน แล้วก็ไม่มีเปลี่ยน
พี่ชายก็บอกว่า เครื่องแต่งตัวไม่ได้เปลี่ยน ปละก็ไม่มีเปลี่ยน
พี่ชายก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไอ้โรงหนังเขาไม่ถือ
พี่ชายบอกว่า ไม่เป็นไร ไอ้โรงหนังเขาไม่ห้าม เขาไม่ถือ
พี่ชายก็เลยพาน้องสาวไปดูหนังที่ โรงหนังแกรนด์ เสร็จแล้วก็มาพักที่เดิม เช้าก็มาลาท่านมาที่บ้าน เมื่อมาถึงบ้านพ่อแม่ก็ดีใจ รุ่งขึ้นเช้าก็จ่ายของแก้บนอย่างหนัก หมูไม่ใช่ครึ่งกิโลแล้ว เป็นหลายๆ กิโลแล้ว ไก่ก็หลายๆ กิโล แล้ว ไก่ก็หลายตัว อะไรก็มาก ขนมจีนก็หาบ เป็นอันว่าเอไม่แก้ที่บ้าน เธอ
แกบอกว่า บนที่ วัดท่าซุง ก็ต้องมาแก้ที่วัดท่าซุง ประเดี๋ยว กรมหลวงชุมพรฯ ท่านจะว่าเอา
เป็นอันว่า เมื่อเขามาหลังเที่ยง ก็ให้แก้เวลาบ่ายก่อนบ่าย 3 โมง 10 นาที
เป็นอันว่า เมื่อเขามาถึงหลังเที่ยง ก็ให้แก้เวลาบ่ายก่อน 3 โมง 10 นาที
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้ก็เหลือนาทีเศษๆ ก็เล่าเรื่องนี้จบพอดี
เป็นอันว่า สมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ท่านก็เป็นเทวดาประเภทที่เรียกว่าสงเคราะห์คนจริงๆ
กฎแห่งธรรมดาของคนที่เกิดมา
เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง และท่านผู้ฟังอย่าลืมว่า
กฎแห่งธรรมดาของคนที่เกิดมา คือ
(1) เกิดมาแล้วก็มีแก่
(2) ต้องมีการป่วยไข้ๆไม่สบาย
(3) มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ อย่างนี้ และ
(4) มีความตายไปในที่สุด
แนวทางแห่งการปฏิบัติ
ขอทุกท่านอย่าประมาทในชีวิต คิดสร้างความดี คือ
(1) รู้จักให้ทาน เป็นการสงเคราะห์ ตัดโลภะ ความโลภทีละน้อย
(2) รู้จักการรักษาศีล เพื่อเป็นการตัดความโกธรทีละน้อย
(3) รู้จักการเจริญภาวนา คือ รู้จักลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้ารู้อยู่ว่า หายใจเข้า
รู้ว่าหายใจออกรู้ว่า หายใจออก
ถ้ารู้ว่าจะภาวนาว่าอย่าง ให้ภาวนาว่า พุทโธ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออก นึกว่า โธ ทำวันละ 2-3 นาทีก็ได้ เวลาจะทำ นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ นั่งท่าไหนก็ทำได้
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าทำได้อย่างนี่ ทุกคนจะไม่ตกนรก ก็เวลามันหมดเสียแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาก็เหลือเวลา 10 วินาทีเศษๆ ก็ ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนามงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านและผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

ที่มา http://www.palungjit.com

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับโพสต์นี้ได้ เข้าสู่ระบบ | สมัครเป็นชาวเมืองเสน่ห์กาหลง

รายละเอียดเครดิต

ปิด

เว็บมาสเตอร์แนะนำย้อนกลับ /1 ถัดไป

รายชื่อผู้กระทำผิด|Archiver|Mobile|เมืองเสน่ห์กาหลง (Khalong Charming Town)

GMT+7, 3-5-2024 12:29 , Processed in 0.129838 second(s), 8 queries , File On.

Powered by Discuz! X3.4

© 2001-2017 Comsenz Inc.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้