“แจกเป็นธรรมทาน” ศีลและปัญญา
เท่านั้นเป็นเลิศในโลก
(รวบรวม โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน)
สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทรงตรัสไว้ดังนี้
๑. ปัญญาอบรมศีลให้บริสุทธิ์ ศีลอบรมปัญญาให้บริสุทธิ์ ศีลต้องอาศัยปัญญา ปัญญาต้องอาศัยศีล ศีลและปัญญาเป็นของคู่กัน ศีลและปัญญาเท่านั้นเป็นเลิศในโลก
๒. “ปัญญาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นโดยการถาม (ปุจฉา) ตอบ (วิสัชนา) ภายในใจของตน (อย่าไปยุ่งกับกายและใจของผู้อื่น) โดยใช้หลักอริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา (ทั้งทางโลกและทางธรรม) อริยสัจ แปลว่าความจริงที่พระองค์ทรงพบด้วยพระองค์เอง เมื่อพบความจริงแล้ว ให้ยอมรับนับถือความจริงนั้น ๆ อย่างจริงใจและด้วยความเคารพ หมายถึงให้ปฏิบัติตามนั้นด้วย เพราะจะเป็นหนทางที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด “พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ต่างก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยอริยสัจ และพระสาวกของพระองค์ทุกองค์ต่างก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยอริยสัจทั้งสิ้น มีทางนี้ทางเดียว ทางอื่นไม่มี
”
๓. พระพุทธองค์ทรงตรัสยกย่องศีลไว้มากมาย ดังตัวอย่างเช่น
๓.๑ ศีลเป็นมารดา (แม่) ของพระพุทธศาสนา
๓.๒ ศีลเป็นมารดา (แม่) ของพระธรรม
๓.๓ ศีลเป็นรากฐานที่จะรองรับพระธรรมในพุทธศาสนา
๓.๔ การบวชเป็นพระภิกษุ จะต้องรับศีลจากพระอุปัชฌาย์ก่อนทุกองค์ แม้พวกอุบาสก-อุบาสิกาจะเข้าสู่พระพุทธศาสนา พระท่านก็ให้ศีลก่อนทั้งสิ้น
๓.๕ การปฏิบัติพระกรรมฐาน และพิธีกรรมต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาก็ต้องอาราธนาศีลก่อนทั้งสิ้น
๓.๖ ในพระไตรปิฎก ก็เริ่มต้นด้วยศีล ( คือ พระวินัยมีรายละเอียดอยู่มากถึง ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์)
๔. เรื่องขอศีลที่หลวงพ่อฤๅษี (พระราชพรหมยานมหาเถระ) ท่านสอนลูกศิษย์ไว้มาก ซึ่งพิมพ์ลงในหนังสือธัมมวิโมกข์หลายเล่ม หลายตอน จะขอรวบรวมไว้ในตอนหลัง
๕. ตัวอย่างที่ทรงเน้นถึงความสำคัญของศีลในพระสูตร
ก) เรื่องโจร ๕๐๐ มีความโดยย่อดังนี้
โจร ๕๐๐ ปล้นฆ่าเป็นอาจิณ หนีการตามจับของทางการมาเจอพระรูปหนึ่งกำลังจงกรมอยู่ในป่า ก็เข้าไปขอพระรูปนั้นเป็นที่พึ่ง เพราะพวกตนกำลังถูกตามฆ่าจากทางการ พระรูปนั้นกล่าวว่า “ที่พึ่งอื่นใดนั้นไม่มี ที่จะพึ่งได้นั้นมีแต่ศีลเท่านั้น” เมื่อพวกโจรเกิดศรัทธา คือ เชื่อท่านโดยยอมปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำ ท่านก็ให้ศีลและเน้นความสำคัญว่า “จงรักษาศีลด้วยชีวิต แม้ตัวจะตายก็จงอย่าคิดละเมิดศีล” คือท่านเน้นศีลชั้นละเอียดถึงมโนกรรมก็ต้องบริสุทธิ์ ที่สุดโจร ๕๐๐ ก็ถูกจับและถูกฆ่าตายหมด โจรทั้ง ๕๐๐ ไม่แม้แต่จะต่อสู้ ไม่ร้องขอชีวิต จิตไม่คิดอาฆาต-พยาบาท และจองเวรแต่อย่างใด เมื่อกายตายจิตก็ไปจุติ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวโลก เพราะอานิสงฆ์ของศีล ตั้งใจรักษาศีลอย่างเคร่งครัดในพุทธันดรนี้ เทวดาทั้ง ๕๐๐ องค์ ก็ลงมาเกิดเป็นลูกชาวประมงได้พบพระสารีบุตร เกิดศรัทธาขอบวชกับท่าน และในที่สุดก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ องค์
ข) เรื่อง พระนางสามาวดีและคณะ ๕๐๐ มีความโดยย่อที่เกี่ยวกับศีลดังนี้
พระนางสามาวดีและบริวาร ๕๐๐ ได้ฟังเทศน์จาก นางขุดฉุตรา ซึ่งเป็นพระโสดาบัน เพราะได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเพียงครั้งเดียว ก็บรรลุมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน เมื่อนางมาเทศน์ให้พระนางสามาวดีและบริวารอีก ๕๐๐ ฟัง ฟังเพียงครั้งเดียวก็มีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันทั้งหมด เมื่อกรรมที่เป็นอกุศลให้ผลกับพระนางและคณะ ถูกพระนางมาคัณทิยากับญาติวางแผนวางเพลิงพระตำหนักที่พัก โดยปิดทางออกไว้ทั้งหมด จนถูกไฟครอกตายทั้งหมด ก่อนจะตายพระนางสามาวดีสั่งให้บริวารทั้งหมดทำจิตให้สงบและบริสุทธิ์ถึงขั้นมโนกรรม คือ ให้อภัยทาน-ไม่โกรธ-ไม่พยาบาท อาฆาตและจองเวรในพระนางมาคัณทิยาและญาติแต่อย่างใด เมื่อกายตายจิตก็ไปจุติ ณ สวรรค์ ทุกคน
: วิจารณ์ หรือธัมมวิจยะ เรื่องโจร ๕๐๐
ก) ก่อนจะตายมีมรณานุสสติ และยอมรับว่าคนเราเกิดมาแล้วต้องตาย แต่ขอตายอย่างผู้มีปัญญา (ฉลาด) คือ เอาศีลเป็นที่พึ่ง (ศีล คือพระธรรมหรือเป็นมารดาของพระธรรมในพุทธศาสนา)
ข) จิตมั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในพระธรรม (ศีล) และคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ค) มีศีล ๕ บริสุทธิ์ ขั้นมโนกรรม ซึ่งเป็นศีลขั้นที่ ๓
ศีลมี ๓ ขั้น
ขั้นที่ ๑ ไม่เอากายไปกระทำผิดศีล พวกนี้ตายแล้วไม่ตกนรก แต่ยังต้องเกิดอีก ๗ ชาติ จึงจะไปพระนิพพานได้
ขั้นที่ ๒ ปากไม่พูดให้ผู้อื่นกระทำผิดศีลเพื่อตน ตายแล้วต้องเกิดอีก ๓ ชาติ จึงจะไปพระนิพพานได้
ขั้นที่ ๓ จิตไม่ยินดีด้วยเมื่อเห็นผู้อื่นกระทำผิดศีล ตายแล้วต้องเกิดอีก ๑ ชาติ จึงจะไปพระนิพพานได้
ผล โจรทั้ง ๕๐๐ จึงไม่ตกนรก เพราะมีศีลละเอียดขั้นที่ ๓ เทียบเท่ากับพระโสดาบันขั้นที่ ๓ หรือขั้นละเอียด หรือเป็นพระสกิทาคามี เมื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพียงชาติเดียวก็พบพระสารีบุตร ขอบวช ฟังเทศน์จากพระสารีบุตร ก็จบกิจในพุทธศาสนาเป็นพระอรหันต์ทุกองค์
เรื่อง พระนางสามาวดี และคณะ ๕๐๐ ก็เช่นกัน
ทุกท่านเป็นพระโสดาบันอยู่แล้ว แต่ก่อนตายทุกท่านก็ยอมรับความจริงเรื่องคนเราเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครหนีความตายไปได้ จิตของทุกท่านมั่นคงในพระรัตนตรัย ศีล ๕ ข้อของทุกท่านเต็มขั้นมโนกรรมทุกท่าน ทุกท่านให้อภัยทานแก่ผู้ที่มาปองร้ายหมายเอาชีวิตโดยการใช้ไฟครอกให้ตาย จิตทุกท่านไม่โกรธ ไม่พยาบาท อาฆาตและจองเวรแต่อย่างใด เมื่อกายตายจิตจึงไปจุติ ณ แดนสวรรค์ ซึ่ง มิได้กล่าวไว้ชัดว่าชั้นใด แต่ความดีขนาดนี้ ควรจะไปชั้นสูง ๆ อย่างแน่นอน ธัมมวิจยะ หรือการยกธรรมะขึ้นมาพิจารณาเป็นตัวทำให้เกิดปัญญา หากใครไม่ปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงชี้แนะ ปัญญาก็ไม่เกิด
๖. พระองค์ทรงตรัสเรื่องมูลเหตุของศีล ได้ดังนี้
๖.๑ " ศีลทุกข้อมีมูลเหตุ คือ การมีกิเลส การเกิดกิเลสของแต่ละประเภท ทำให้จิตที่ถูกครอบงำแล้วเกิดอุปาทาน ทำไปตามกิเลสนั้น สร้างกรรมให้เกิดไปตามกิเลส ไม่ว่าทางมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม "
๖.๒ " จงจำไว้ว่า กรรมที่เกิดแม้แต่มโนกรรมก็เป็นกรรม ผู้ที่บริสุทธิ์จะบริสุทธิ์แม้แต่มโนกรรม มโนกรรมนั้นจะไม่เบียดเบียนใคร ไม่เบียดเบียนแม้แต่ตนเอง จึงไม่มีทางจะเบียดเบียนผู้อื่นได้เลย "
๖.๓ " เมื่อกิเลสทำให้เกิดอาบัติ การบัญญัติศีลจึงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำซึ่งอาบัตินั้น ศีลจึงเป็นข้อห้ามที่ตถาคตห้ามไม่ให้สาวกของตถาคตทำชั่วในอาบัตินั้น ๆ "
๖.๔ " การไม่ละเมิดศีล แต่ไม่ได้เจตนารักษาศีล ก็ไม่ได้ชื่อว่ามีศีล ดูตัวอย่างท่านอนันทเศรษฐี ศีลไม่ละเมิด แต่ไม่ได้รักษาศีล ทานก็ไม่ให้ ท่านไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่มุสา ไม่ดื่มสุราเมรัย กรรมชั่วไม่ได้ทำ ก็เลยไม่ตกนรก แต่ในขณะเดียวกัน ไม่รักษาศีล ไม่ให้ทาน จึงไม่มีกรรมดี ทำให้ไม่มีอานิสงส์ที่จะนำไปเกิดยังสวรรค์ได้ ลงท้ายก็ต้องไปเกิดเป็นคนที่ไม่มีบุญ ไม่มีทาน ไม่มีศีล คนที่ไม่มีบุญก็ไปสู่สถานที่คือกลุ่มขอทาน ไม่มีทานก็ทำให้ไม่ได้รับทานคือการให้ เพียงเข้าปฏิสนธิในครรภ์มารดาเท่านั้น มารดาและคนกลุ่มนั้นพลอยไม่มีใครให้ทานด้วย ความที่เป็นคนไม่มีศีล พอเกิดมารูปจึงไม่สวย มีสภาพเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น "
๖.๕ "คนที่รู้ศีล แต่ไม่ยอมรักษาศีล ก็ไม่ต่างจากคนที่ไม่ละเมิดศีล แต่ไม่รักษาศีล"
ทรงตรัสถาม
ปุจฉา “แล้วตถาคตบัญญัติศีลเพื่อใคร”
วิสัชนา ก่อนจะตอบ ผู้ตอบนึกถึงท่านพระสุรจิต (ท่านพระครูสังฆรักษ์ สุรจิต สุรจิตโต) ซึ่งเคยพูดเรื่องนี้ไว้ในอดีต มีความว่า ครั้งหนึ่งมีพระรูปหนึ่งมาปรารภให้ฟังว่า ท่านรู้สึกรังเกียจพระบางรูปในวัดที่ไม่ยอมรักษาศีล ท่านพระสุรจิตก็แนะนำว่า
ก) “พระพุทธเจ้าบัญญัติศีลเพื่อตัวเราเอง มิใช่เพื่อผู้อื่น ซึ่งหมายความว่าผู้ใดประพฤติ-ปฏิบัติในศีลได้ อานิสงส์ของศีลย่อมได้กับตัวเอง คือ ผู้ประพฤติ-ปฏิบัตินั้น ๆ”
ข) “ศีลย่อมเป็นของตัวเราผู้ทำศีลให้ปรากฏแก่กาย วาจา ใจ ของตนเอง จึงได้ชื่อว่าศีลที่พระพุทธเจ้าบัญญัติก็เพื่อตัวเราเอง จึงมิใช่บัญญัติเพื่อผู้อื่น”
ค) “ในเมื่อคนอื่นเขาไม่เอาศีล เราจึงไม่มีอำนาจบังคับให้คนอื่นเขาปฏิบัติศีลได้ ” การนึกก็คือการตอบ (วิสัชนา) นั่นเอง
๖.๖ “ทรงตรัสสอนเพิ่มเติมว่า”
ก) “อันนี้หมายถึง ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตนด้วย และหมายถึงไม่เพ่งโทษบุคคลอื่นด้วย และไม่สนใจในจริยาของผู้อื่นด้วย”
ข) “ดังนั้นบุคคลที่เจริญแล้ว ย่อมจะทำความเจริญในศีลให้เกิดแก่กาย-วาจา-ใจของตนเองเท่านั้น เป็นหลักสำคัญเบื้องต้น เพราะศีลปฏิบัตินั่นแหละจะนำไปซึ่งการตัดกิเลสที่ครอบงำจิต ไม่ปาณาติบาต ก็ตัดโทสะ ไม่ลักทรัพย์ ก็ตัดโลภะ ไม่กาเม ก็ตัดกาม ราคะ ดังนี้เป็นต้น”
ค) “ศีลจึงมีอานิสงส์มาก ธรรมของตถาคตจึงมีเหตุมีผลประกอบกันอยู่เสมอ และทุก ๆ บทธรรมเป็นพุทธบัญญัติ คือ สมมุติบัญญัติขึ้นมาให้พุทธสาวกผู้รับฟัง ฟังแล้วนำไปเป็นเหตุ เป็นผลปฏิบัติให้เกิดมรรคเกิดผลได้ตามบัญญัตินั้น ๆ”
|