แก้ไขล่าสุด wongrad เมื่อ 14-9-2011 19:39
ครูบาคำ สีลสํวโร
รายการที่สมทบทำบุญที่จะสร้างอุโบสถเพื่อสืบต่อเจตนารมณ์ของครูบาที่ยังไม่ได้สร้างจนท่านมรณะภาพไปมีดังต่อไปนี้
1.ผ้ายันต์นกยุงทอง,จิ๊กจกคาบหาง ครูบาท่านได้เขียนเองกับมือทั้งหมด ยังมีอยู่ไมามากเพราะไปค้นเจอที่ตู้พระคาถา ราคา 99 บาท
2.พระอุปคุตบัวเข็ม สมัยครูบาท่านยังอยู่ ราคา 789 บาท เหลืออยู่ 2 องค์
3.ยันต์หนีบ สมัยครูบาท่านยังอยู่ ราคา 559 บาท
4.รายการอื่นๆ ค่อยมาเอาลงอีกทีหลัง
ประวัติ พระครูบาคำ สีลสํวโร เดิมชื่อดวงคำ วงศ์ษร เกิดวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2458 ตรงกับวันศุกร์ เดือน 7 แรม 4 ค่ำปีเถาะ ณ บ้านร้อง หมู่ที่ 6 ต.ทุ่งสะโตก อ.บ้านแม (ปัจจุบันเป็นอ.สันป่าตอง)จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรนาย ปุ๊ด นางหมู วงศ์ษร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน3 คน 1.นางบัวแก้ว วงศ์ษร (เสียชีวิต) 2.พระครูบาคำสีลสํวโร (เจ้าของประวัติ) 3.พ่อน้อยต๋า วงศ์ษร (เสียชีวิต) บรรพชา เด็กชายดวงคำ วงศ์ษรได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อวันอังคารที่ 13 มีนาคม 2475 ตรงกับเดือน 6 เหนือ ขึ้น 7ค่ำ ปีมะแม ที่วัดปราสาท ต.ทุ่งสะโตกอ.บ้านแม (ปัจจุบันเป็นอ.สันป่าตอง) จังหวัดเชียงใหม่ อายุ 16 ปีมีเจ้าอธิการโสภาวัดท่าจำปี ต.ทุ่งสะโตก เป็นพระอุปัชฌาย์ สามเณรดวงคำ วงศ์ษรได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัยและสมารถเล่าเรียนเขียนอ่านเทศน์คัมภีร์อักษรล้านนาได้เป็นอย่างดี อุปสมบท เมื่ออายุได้ 22 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2480 ตรงกับเดือน 9 เหนือ ขึ้น 8 ค่ำ ปีฉลู ที่วัดปราสาทมีเจ้าอธิการโสภา วัดท่าจำปี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระจันธิมาวัดทุ่งเกี๋ยงเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระจู วัดศรีนวรัฐ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อคราวสร้างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพโดยมีพระครูบาเจ้าศรีวิไชย เป็นองค์ประธานแม่ทัพ พระสงฆ์คณาจารย์ เณร บ้านร้องต.ทุ่งสะโตก ส่วนมากจะให้การร่วมมือ ด้วยศรัทธาจากใจจริงและสามเณรดวงคำ วงศ์ษร(ก่อนอุปสมบท) ก็ได้มีส่วนร่วมด้วย เมื่อมีเวลาว่างเว้นจากงาน ก็มักจะหาโอกาสฟังธรรมการสั่งสอนจากครูบาเจ้าศรีวิไชยด้วยความเมตตา
หลังจากงานสร้างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพแล้วเสร็จพระครูบาคำ ท่านต้องกลับวัดปราสาทเพื่อช่วยงานภายในวัดเมื่อวัยหนุ่มท่านมีความกระตือลือล้นมากเรื่องการศึกษาพระธรรม ทั้งอักษรไทยและล้านนาจากคัมภีร์และยังได้ปฏิบัติบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเคร่งครัดอีกทั้งยังได้รับการถ่ายทอดวิชาเรืองเวทย์คาถาอาคมจาก พระเจ้าอธิการโสภาวัดท่าจำปี พระครูจันธิมา วัดทุ่งเกี๋ยงและหากมีโอกาสท่านมักจะไปเยี่ยมเยียนขอสนทนาธรรมและวิชาเวทย์จากรุ่นพี่พระครูบาดวงดี วัดท่าจำปี ครูบาอิน วัดฟ่าหรั่ง ครูบาบุญปั๋นวัดร้องขุ้ม ครูบาดวงวัดกู่ลายมือ ครูบากองคำ วัดดอนเปา จนอุดมวิชาและยังได้หาโอกาสแลกเปลี่ยสนทนาธรรมวิชาเวทย์ กับพระสหายทางธรรมอีกด้วยกับครูบาดวงดี ยติโก วัดบ้านฟ่อนครูบาจันทร์แก้ว วัดศรีสว่าง ครูบาชุ่ม วัดป่าลาน(หางดง) ครูบาเผือก วัดไชยสถาน(หางด)ในยุคนั้นครูบาเผือก ท่านมีความรู้มากเรียนเก่ง ขณะนั้นมีอายุ 23 ปีและต่อมายังรุ่งเรืองเวทย์คาถา ครูบาคำ สีลสํวโร ท่านอุดมด้วยเมตตาธรรมมีตยะวาจา(พูดดี) พระคณาจารย์รุ่นพี่จึงเมตตา พระสหายธรรม รุ่นน้องก็ล้วนศรัทธาท่านอีกทั้งชาวบ้านใกล้ไกล
ในปีพ.ศ.2491 ทางวัดดอนปินได้ว่างเว้นเจ้าอาวาสชาวบ้านต่างได้ลงความเห็นมีใจตรงกันด้วยความศรัทธาในองค์ท่านโดยแท้ จึงขออาราธนานิมนต์ จากวัดปราสาทมาเป็นเจ้าอาวาส ณวัดดอนปิน จนถึง 28 มกราคม 2543 วัดดอนปิน ได้ก่อตั้ง พ.ศ.2430 ถึงพ.ศ.2543โดยมีเจ้าอาวาสกรครองทั้งหมด 5 รูป คือ
รูปที่1 พระอุปเสน เป็นผู้ก่อตั้งวัด จนถึง พ.ศ.2468 รูปที่2 พระญาณะ ในปี พ.ศ.2469 ถึง 2479 รูปที่3 พระต๋า ในปี พ.ศ.2479 ถึง 2484 รูปที่4 พระตา ในปี พ.ศ. 2494 ถึง 2491 รูปที่5 พระครูบาคำ สีลสํวโร ในปี พ.ศ.2491 ถึง 2543 จนถึงปัจจุบันได้ 63 พรรษา อายุ 85ปี วัดดอนปินสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่ประมาณทั้งหมด 3 ไร่ 57 ตารางวาระหว่างที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสได้พัฒนาจนวัดเจริญสวยงาม สร้างถาวรวัตถุมาก เช่นสร้างวิหาร สร้างกุฏิ ศาลา กำแพงรอบวัด ศาลาการเปรียญสร้างสาธารณะประโยชน์แก่ส่วนรวมไว้มากมาย ส่งเสริมการศึกษาของพระภิกษุสามเณรมาโดยตลอด ต่อมาได้สร้างโรงเรียนวัดดอนปินต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการศึกษา และอุปการะ กรรมการสอบธรรมสนามหลวงทุกๆปีพ.ศ.2510 ถึง 2539 เป็นผู้อบรมศีลธรรมร่วมกับอำเภอด้านศึกษาธิการบวชสามเณรภาคฤดูร้อนทุกๆปีและอบรมศีลธรรม จริยธรรม แก่สามเณรศรัทธาประชาชนกลุ่มต่าง ๆ จนแพร่ขยายกว้างขวางขจรไกลอีกทั้งได้รับเป็นที่ปรึกษาไปอีกหลายอำเภอท่านยังได้เมตตาจุนเจือผู้ยากไร้และเด็กยากจนให้ได้รับการศึกษา ด้านสาธารณะกุศลท่านยินดีด้วยเมตตาอีกทั้งยังอยู่เบื้องหลังจารแผ่นลงคาถา 108 เพื่อนำไปสร้างวัตถุมงคลและอธิฐานจิตท่านเป็นพระเกจิ คณาจารย์อีกรูปหนึ่งในประเทศไทยที่เชี่ยวชาญเรื่องเวทย์คาถาอาคมมนต์ขลังและท่านยังได้รับนิมนต์ร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลอยู่เป็นประจำในเชียงใหม่ ลำพูนอีกทั้งต่างถิ่นเมืองอื่นและท่านยังขึ้นชื่อเชี่ยวชาญการประกอบพิธี การกินอ้อผะหญา(อ้อแห่งปัญญา)แบบโบราณพิธี ด้านวัตถุมงคลและเครื่องรางสร้างไว้น้อยมากแต่ขึ้นชื่อมากก็ตะกรุดจำปา 4 ต้น ตะกรุดยันต์ 108และเหรียญสร้างไว้ 2 รุ่น รูปอาร์ม พ.ศ.2534 รุ่นสอง พ.ศ.2540 สำหรับเหรียญรุ่นแรกมีพระเกจิคณาจารย์ร่วมปลุกเสกจำนวนมาก แต่พอจะรวบรวมรายชื่อแต่ล่ะคณาจารย์ดังต่อไปนี้ 1.พระครูบาดวงดี สุภัทโท วัดท่าจำปี 2.พระครูบาดวง ฐิตวโร วัดกู่ลายมือ 3.พระครูบาเขียวสนฺมโก วัดแสนปันทา 4.พระครูบาปันปภังทโร วัดป่าแดด 5.พระครูบาจันทร์ วัดต้นกอก 6.พระครูบาแก้ว จันโท วัดปราสาท 7.พระครูบาใบ วัดสารภี 8.พระครูบาสม วัดทุ่งเกี๋ยง และพระเกจิคณาจารย์อีกหลายรูปที่มิได้เอ่ยนามอีกทั้งยังได้อธิฐานจิตให้เป็นกรณีพิเศษอีก จากเกจิคณาจารย์รุ่นพี่พระครูบาอินวัดฟ้าหรั่ง พระครูบาบุญปั๋น วัดร้องขุ้ม พระครูบาตั๋น สำนักม่อนปู่อิ่นส่วนด้านหลังของเหรียญ เป็นพระคาถา แก้ไขวิกฤตการ ยามจนตรอกจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาโดยการระลึกถึงท่านด้วยความศรัทธาจริง แล้วให้ท่องคาถาว่า กัณหะ เณหะปัจจุบันเหรียญรุ่นแรกของท่าน ชาววงการพระเครื่องเริ่มตื่นตัวแสวงหาเก็บกันแล้วราคายังไม่แพง การหมุนยังพอคล่อง แต่เริ่มได้เห็นน้อยกว่าปีก่อนเพราะผู้เก็บไว้ไม่ค่อยจะปล่อยออกมามากนักด้านประสบการณ์เด่นเป็นที่ประจักษ์แน่นอน ปลอดภัย แคล้วคลาด ส่วนมากจะเป็นทางรถ เมื่อต้นปี พ.ศ.2552ก็มีรถพลิกหลายตลบที่ชัยนาท ทะเบียนรถเชียงใหม่ ขาลงเข้ากรุงเทพฯคนขับแขวนเหรียญของท่านแต่ปลอดภัยทั้งคัน 4 คน เซียนส่วนกลางรู้ข่าวขึ้นมาเชียงใหม่กว้านไปร้อยกว่าเหรียญ โดยผ่านเซียนแถบประตูเชียงใหม่จึงมีส่วนทำให้เหรียญหมุนเวียนเหลือน้อยลงและที่หน้าจอเน็ตได้ตั้งราคาสูงพอดูมาวันนี้เป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง นักสะสม เซียนเชียงใหม่เริ่มให้ความสำคัญกับวัตถุมงคล เหรียญ เครื่องรางจากพระเกจิคณาจารย์จังหวัดเชียงใหม่มากกว่าที่ผ่านมาชนิดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พระครูบาคำ ท่านมีฐานธรรมโดยแท้ มีจิตเมตตาเป็นกุศลโอบอ้อมอารีย์ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ชอบช่วยเหลือญาติโยมที่มีความเดือดร้อนและงานการกุศล ราชการช่วยพัฒนาสร้างสาธารณะประโยชน์ถาวรวัตถุให้กับส่วนรวมไว้มากมาย จนโครงการที่ท่านเคยคิดไว้สร้าอุโบสถและเจดีย์ภายในวัดดอนปินต้องมีเหตุผมล่าช้าออกไปอยู่บ่อยๆอีกทั้งมาระยะหลังๆนี้สังขารท่านได้เริ่มอ่อนแอลง ตามลำดับ การเข้าออกโรงพยาบาลก็เริ่มบ่อยครั้งจนถึงวันที่ 26 มกราคม 2543 ที่โรงพยาบาลแม็คคอร์มิคอาการทรุดหนักมากไม่ดีขึ้นเลยหมอจึงอนุญาตให้มาพักอยู่ที่วัดได้ 3 วัน 26 –28 มกราคม 2543 เวลา 21.00 น. ท่านจึงได้ถึงกาลมรณภาพ โดยวางร่างสมาธิอย่างสงบนิ่งด้วยโรคปอดและไต ณ สถานที่วัดดอนปิน รวมสิริอายุได้ 84 ปี
อยู่ในสมณเพศสามเณร 6 พรรษา
อยู่ในสมณเพศพระภิกษุ 63 พรรษา ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 51 ปี ดำรงตำแหน่งพระครูชั้นประทวน 21 ปี รวมสิริอายุ84 ปี 9 เดือน 23 วัน 21 ชั่วโมง ศิษยานุศิษย์และสาธุชนทั่วไปล้วนเศร้าสลดใจและอาลัยยิ่งท่านเป็นผู้มั่นคงในสมณธรรม เป็นปูชนียบุคคลที่ได้รับความเคารพสัการะแก่สาธุชนเป็นอย่างยิ่งคณะศรัทธาแระชาชนและศิษย์ยานุศิษย์ก้ได้เก็บศพท่านไว้บำเพ็ญกุศลเป็นเวลานานพอสมควร ดังนั้นคณะสงฆ์ข้าราชการและคณะศรัทธาประชาชนได้ประชุมหารือกัน ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้บำเพ็ญกุศลพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 18 มีนาคม 2544 (ปล.ยังมีเพิ่มเติมอีก..จะเอามาลงเพิ่มทีหลังเด้อครับ) |