Apirut โพสต์เมื่อ 16-6-2010 14:02

ความรู้เรื่อง การปลุกเสก

การปลุกเสก...
คือการกระทำให้สิ่งที่เป็นวัตถุที่กำหนดไว้ให้มีคุณค่าขึ้นมา เช่น การปลุกเสกพระเครื่อง
การปลุกเสกพระเครื่อง เดิมทีเดียวพระเครื่องเป็นวัตถุผสมด้วย ดิน หรือโลหะ หรือธาตุ หรือกระดูกคนตาย หรือสิ่งอื่น และตัวทำแข็ง ทำเหลว ตัวยึดติด อาจเป็นเป็นน้ำมันเหลวแห้งได้ดีเมื่อรมด้วยควันไฟ มีอาทิเช่น ตั่งออิ้วที่มีกลิ่นหอม ยางไม้รมบาตรมาจากประเทศจีนมีราคาแพง หรือนำมันชนิดอื่น หรือการทำด้วยปูนพลาสเตอร์ (ปูนปารีส) ชนิดแห้งไว หรือหล่อด้วย ธาตแข็งชนิดอื่น เช่น ทองคำ ทองเหลือง ทองแดง ตะกั่ว ทองขาว เหล็ก อื่น ๆ หรือด้วยพืชวัตุ สัตว์วัตถุ ธาตุวัตถุต่าง ๆ แล้วนำมาปลุกเสก ๆ เรียกเป็นภาษาราชการว่า ทำพิธีกรรม


การปลุกเสกแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ พิธีทางราชการ และพิธีไม่ใช่ราชการ
ที่ทราบกันดีคือการพุทธาภิเษก หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าการปลุกเสกพระเครื่องรางของขลัง
ของมงคล ตามพิธีกรรมที่สิบทอดกันมา หรือทำให้สิ่งธรรมมีชีวิตทางไสยวิทยาขึ้นมา
จนเสร๋จพิธี ส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อเสร็จตามขั้นตอน แบบที่ คติชนวิทยา หรือภูมิปัญญาชาวบ้าน
จะยอมรับว่าสิ่งนั้นศักดิ์สิทธ์ได้ด้วยพิธีกรรมเหล่านี้แล้ว จะปรากฏออกมาในท้องตลาด หรือในสังคม เช่นพระเครื่อง วัตถุมงคล รุ่นต่าง ๆ จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ดั่งที่ทราบกันว่า บางชนิดเมื่อเสร็จพิธี แล้ว สามารถใช้ป้องกันตัว หรือพกพาติดตัวเป็นมงคลอื่น ๆ เช่นยิงรันฟันแทงไม่เข้า แคล้วคลาด กันผี บำรุงขวัญ เป็นเสน่ห์ เป็นมงคล เมตตามหานิยม ค้าขายดี


การปลุกเสก มี 2 ชนิด
ชนิดใช้นักบวชปลุกเสกและใช้คนที่ไม่ใช่นักบวชปลุกเสก
การปลุกเสกยังแยกออกไปอีกเช่น การปลุกเสกด้วยน้ำธรรมดาเพื่อเสกให้เป็นน้ำมนตร์ เพื่อรดปัองปัดรังควาญเสนียดจัญไร เป็นต้นให้ผู้ป่วยทำให้รักษากายใจได้ มันเป็นเรื่องจิตบำบัดชนิดหนึ่ง
การปลุกเสกอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นของชาวบ้าน ที่เรียกว่า การเล่นของ เช่นคนธรรมดา อยากจะปลุกพระเครื่อง เขาจะนั่งสมาธิ บริกรรมคาถาในสูตรของเขา มีมือกำพระเครื่องไว้ในอุ้งมือแน่น แล้วภาวนา หลับตาอย่างมีสมาธิแน่วแน่ตามสูตร จนพระเครื่องหรือสิ่งของที่ปลุกเสกนั้นขึ้น คนที่ทำคือคนที่ปลุกเสกจะมีอาการเต้นสั่นบ้างบางครั้ง และตามปกติคนที่ทำพิธีจะใสชุดขาว เว้นอาหารเนื้อสัตว์ก่อนทำ เป็นตามที่กำหนดไว้ หรือเป็นโยคีหนึ่งระยะ และยังมีอีกหลายวิธีตามแต่ละสำนึกสิบทอดกันมา


การปลุกเสกแบบสมถฌานกรรมฐาน
เป็นกำลังหลักการคือพระเกจิผู้ปลุกเสก ต้องสำเร็จฌานระดับจตุถฌาน หรือฌาน 4 ขึ้นไป การปลุกเสกเริ่มจากการตั้งสมาธิจากสมาธิขั้นกลางจนได้สมาธิระดับจตุถฌาน หรือฌาน 4 หรือสูงกว่านั้น แล้วก็คลายสมาธิลงมาในสมาธิขั้นกลางแล้วก็อธิษฐานจิต หรือว่ามนต์คาถาจึงทำให้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ได้


ซึ่งการปลุกเสกแบบสมถฌานกรรมฐาน มี 5 วิธี ขึ้นกับพระเกจิว่าชำนาญแบบใด
1.วิธีการสวดอัดประจุคาถา การเสกว่าคาถาบทสวดต่างๆ เช่น บทสวดเจ็ดตำนาน คาถาชินบัญชรเป็นการอาราธนาบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเทวดา หรือพรหมมาช่วย แต่ว่าคาถาบางอย่างก็จะว่าแต่เฉพาะบางจุด เรียกว่าคาถาพุทธาคม ซึ่งสมาธิขั้นฌาน 4 เป็นต้นไปจะว่ากล่าวคาถาพุทธาคมบทใดก็บังเกิดความศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น
ส่วนคาถาไสยศาสตร์นั้นความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอยู่กับบทมนต์คาถาทุกอักขระที่ประจุ เคล็ดวิชาขั้นตอนพิธีการ และแรงวิญญาณของครูบาอาจารย์ผนวกรวมกัน หากผู้เสกที่เป็นพระเกจิ หรือฆราวาสเป็นผู้มีวิชาอาคมมาก และสร้างถูกต้องตามตำรา และได้รับการครอบครูบาอาจารย์ถ่ายทอดวิชามาอย่างถูกขั้นตอน วัตถุมงคลย่อมมีพลังสูงมากปลุกเสก


2.วิธีการอธิษฐานจิต สามารถทำได้สองแบบ แบบแรก คือ การอธิษฐานจิตอ้างถึงการอาราธนา
บารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวก ทั้งหมด พรหมหรือเทวดาชั้นฟ้าทั้งหมดขออนุเคราะห์ท่านมาช่วยช่วยดลบันดาลให้พระเครื่องสร้างขึ้นนี้สูงสุดด้วยพระพุทธานุภาพ และกฤตยานุภาพ ส่วนแบบที่สองอธิษฐานอ้างถึงบุญญาบารมีคุณงามความดี ความมีศรัทธาพระบวรพุทธศาสนา และผลบุญกุศลที่ตั้งมั่นอยู่ในการประกอบแต่กรรมดี ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติของตัวพระเกจิหรือฆราวาสของตัวผู้ปลุกเสกเอง ได้ช่วยดลบันดาลให้พระเครื่องสร้างขึ้นนี้สูงสุดด้วยพระพุทธานุภาพ และกฤตยานุภาพ คุ้มครองให้คลาดแคล้วผองภัยพิบัติ อำนวยความเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้ที่ได้นำไปสักการบูชา โดยมีหลักการ เริ่มจากการเข้าสมาธิให้เข้าถึงจตุถฌานเรียกอีกอย่างว่าฌาน 4 จนกระทั่งอารมณ์จิตเป็นแก้วทั้งหมด เป็นแก้วประกายพฤกษ์ทั้งหมดแล้วจึงเข้าสมาธิใหม่ จัดเป็นโลกุตตรญาณ แล้วก็อธิษฐานจิต


3.วิธีเจริญกัมมัฏฐานเดินอารมณ์กัมมัฏฐานเพ่งกระแสจิตไปยังวัตถุมงคล
ถ้าให้เป็นเมตตาระหว่างนั่งเราก็กำหนดอารมณ์ที่สงบนิ่ง เยือกเย็น ในการเจริญกัมมัฏฐาน
แต่ถ้าต้องการให้อยู่ยงคงกระพัน ก็ใช้อารมณ์ที่แข็งกร้าว เหี้ยมโหด ในการเจริญกัมมัฏฐาน หรือการเพ่งกสิณไฟในการปลุกเสกให้เกิดพลัง


4. วิธีทิพยจักขุญาณถ้าพระเข้าขั้นที่เรียกว่าได้ทิพยจักษุญาณ โดยมากเขาไม่ทำเอง
ปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง พระอริยสงฆ์บ้าง เทวดาชั้นฟ้าบ้าง พรหมบ้าง อันนี้ก็สบายดี แต่หากว่าทำเองไม่ช้ามันก็เจ๊ง ตัวเองยังคุ้มครองตัวเองไม่ค่อยได้ คนทำมันก็ตายนี่ แล้วมันจะไปคุ้มครองความตายของใครเขาได้ นี่ว่ากันตามธรรมดานะ การเสกพระเสกเจ้า หรือเสกผ้ายันต์ เสกอะไรต่ออะไรพวกนี้ ถ้าเราเอาตัวของเราออกเสีย เราไม่เข้าไปยุ่ง แต่อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมหรือเทวดาทั้งหมดท่านมาช่วย ท่านทำประเดี๋ยวเดียว ๒-๓ นาทีมันก็เสร็จ ดีกว่าเราทำ ๑,๐๐๐ ปี
ขอขอบคุณข้อมูล องค์ความรู้เรื่องการปลุกเสกจาก อาจารย์ธรรมนูญ บุญธรรม มา ณ ที่นี้

pramate โพสต์เมื่อ 18-6-2010 17:30

:) ขอบคุณครับ

pocko โพสต์เมื่อ 26-6-2010 20:37

รวบรวมได้ดีครับ เสริมความรู้ดี

Uanprew โพสต์เมื่อ 29-7-2010 13:44

ขอบคุณครับสำหรับสิ่งดีๆที่หามาฝากกันครับ{:3_46:}

bird13342 โพสต์เมื่อ 29-7-2010 19:36

ขอบคุณครับ

น้ำ. โพสต์เมื่อ 4-9-2010 07:37

ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ

ต้อม โพสต์เมื่อ 4-9-2010 21:46

ขอบคุณครับ

ต้อม โพสต์เมื่อ 4-9-2010 21:48

อ๊อด โพสต์เมื่อ 12-9-2010 16:52

ขอบคุณครับ

TOOPAO โพสต์เมื่อ 1-12-2011 12:28

ทุกอย่างอยู่ที่จิตครับ การวางจิต ถูกหรือไม่ วางอารมณ์ได้ขนาดไหน เดินธาตุ หนุนธาตุ กำลังพอหรือไม่ ขณะตอนเสก ผู้เสกมีอารมณ์แบบไหน

highskw โพสต์เมื่อ 8-12-2011 01:56

ทุกอย่างอยู่ที่จิตครับ การวางจิต ถูกหรือไม่ วางอารม ...
ต้นฉบับโพสโดย TOOPAO เมื่อ 1-12-2011 12:28 http://khalong.com/board2/images/common/back.gif


    สาธุ

Suayngam โพสต์เมื่อ 25-7-2013 23:26

มาเก็บ:)เป็นความรู้ติดตัวครับ

0913949277 โพสต์เมื่อ 4-5-2014 12:47

:P:P

inframan โพสต์เมื่อ 24-6-2014 12:54

ได้ความรู้ดีครับ ขอบคุณครับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: ความรู้เรื่อง การปลุกเสก