Akatsuki999 โพสต์เมื่อ 31-8-2012 20:59

การทำเบี้ยแก้

แก้ไขล่าสุด Akatsuki999 เมื่อ 31-8-2012 21:00

http://www.tumsrivichai.com/images/1195357065/pujer.jpg
ภาพประกอบจากกูเกิ้ล

พระอาจารย์กล่าวว่า "พอของที่ให้ประมูลหมดแล้ว จะเอาเบี้ยแก้ตัวครูของหลวงปู่เจือมาให้ ขนาดใหญ่กว่ากำปั้นหน่อยหนึ่ง มีปัญญาก็แขวนคอเอา หลวงปู่เจือท่านเมตตาจารไว้ให้ วิชานี้อาตมาทำอย่างไรก็ไม่ขลังเท่ากับสายตรง จึงปล่อยเลยตามเลย ไม่คิดที่จะทำ ปกติเบี้ยตัวครูเขาไม่ได้ให้ใครง่าย ๆ เพราะว่าเอาไว้เป็นต้นแบบ

สมัยก่อนเรื่องของเบี้ยแก้เป็นวิชาของพราหมณ์-ฮินดู เขาจะทำเบี้ยแก้ขึ้นมาสำหรับติดตัวกันฟ้าผ่า มาถึงยุคหลวงปู่รอด วัดนายโรง ท่านขอเรียนวิชาจากพราหมณ์ ไม่ทราบเหมือนกันว่าแลกเปลี่ยนกันด้วยวิชาอะไร แต่พราหมณ์เขายินดีถ่ายทอดให้

เบี้ยแก้แต่เดิมที่เป็นของพราหมณ์เขาเรียก “ภควะจั่น” คำว่าจั่นก็คือเบี้ยจั่น พอมาถึงหลวงปู่รอด วัดนายโรง ท่านก็มาแปลงเป็นเบี้ยแก้แบบไทย เพราะเสกด้วยพุทธคุณแทน เมื่อติดตัวไว้สามารถเป็นมหาอุตม์ได้

ท่านบอกว่าเสกได้ ๓ ระดับ ระดับแรกคือปืนยิงไม่ออก ระดับที่ ๒ ยิงออกไม่ถูก ระดับที่ ๓ ยิงถูกไม่เข้า แล้วแต่ว่าคน ๆ นั้นมีคุณความดีมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนส่วนใหญ่ท่านได้ทิพจักขุญาณ ท่านรู้ก็จะสงเคราะห์ให้ตามกำลังใจของคนนั้น ๆ"
"การทำเบี้ยแก้จะเอาเบี้ยขนาดไม่ใหญ่มาก พอที่จะบรรจุปรอทได้หนัก ๑ บาท โดยเบี้ยแก้จะต้องมีฟัน ๓๒ ซี่ ต้องไปนั่งเล็งแล้วนับเอา ปรอทส่วนใหญ่ก็ดักเอาจากธรรมชาติ ชั่งน้ำหนักให้ได้ ๑ บาท กรอกใส่เบี้ยไปแล้วอุดด้วยชันโรงใต้ดิน ชันโรงเป็นแมลงตระกูลผึ้ง แต่ว่าเป็นผึ้งที่ตัวเล็กมาก

เมื่อตอนที่ซ่อมกุฏิเรือนไทย รื้อผนังกุฏิลงมามีชันโรงเพียบเลย รังของชันโรงจะทำเรียงไว้กับพื้นลักษณะหมือนเป็นถ้วย แต่ละถ้วยใส่น้ำหวานไว้เต็ม คราวนี้ชันโรงชอบทำรังบนต้นไม้ หรือไม่ก็ตามรอยซอกแตกของบ้าน แต่ท่านให้ใช้ชันโรงใต้ดิน เขาถือว่าของอะไรที่ผิดธรรมชาติจะขลัง เอามาอุดไว้

หลังจากนั้นก็หุ้มด้วยผ้าแดงที่จารอักขระ แล้วตีหุ้มด้วย ตะกั่วถ้ำชา คำว่าตะกั่วถ้ำชา ก็คือตะกั่วที่เอามาทำเป็นที่บรรจุกาน้ำชา ส่วนใหญ่เขาจะใส่นวมหุ้มเอาไว้ เพื่อที่จะให้ชาร้อนอยู่ได้นาน ๆ สมัยนี้เด็กไม่ค่อยจะรู้แล้วว่าถ้ำชาหน้าตาเป็นอย่างไร คำว่าถ้ำในภาษาโบราณ เขาหมายถึง สิ่งที่เอาไว้เก็บของเล็กของน้อยได้

อย่างในขุนช้างขุนแผน ที่นางทองประศรีบอกว่า “ฯลฯ..ขมิ้นดินสอพองเอาไว้ไหน เมื่อวานกูใส่ไว้ในถ้ำ..ฯลฯ” ถ้ำชาถ้าสมัยนี้ก็ต้องบอกเป็นว่าภาชนะที่บรรจุกาน้ำชา ระยะหลังทำจากโลหะอย่างอื่น สมัยก่อนเขาใช้ตะกั่วเพราะว่าตีขึ้นรูปได้ง่าย

เมื่อหุ้มด้วยตะกั่วถ้ำชาเสร็จแล้ว ก็มีการจารอักขระซ้ำอีกทีหนึ่ง หรือจะไม่จารก็ได้ หลังจากนั้นก็มักจะเอาไปถักเชือกหรือชุบรักปิดทองก็แล้วแต่ นำติดตัวเอาไว้ ท่านบอกว่าสามารถพลิกดวงชะตากลับร้ายกลายเป็นดีได้ กันไสยเวทย์อาคมวัตถุอาถรรพ์ได้ ผีเจ้าเข้าสิงเอาทำน้ำมนต์อธิษฐานรดให้ออกได้"

"รุ่นต่อจากหลวงปู่รอด วัดนายโรง ก็เป็นหลวงปู่แขก วัดบางบำหรุเรียนต่อมา แล้วก็แยกสายออกมามีของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่บุญไปมาหาสู่กับหลวงปู่แขกและหลวงปู่รอด ก็น่าจะได้รับการถ่ายทอดวิชาไป เพราะทำมาจากตำราเดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน ตามสายหลวงปู่บุญก็ถ่ายทอดต่อให้หลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่เพิ่มถ่ายทอดต่อให้หลวงปู่เจือ

ส่วนสายหลวงปู่แขกก็ถ่ายทอดมาถึง หลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดี จากหลวงปู่ม่วงแตกสายออกไปที่ใครบ้างก็ไม่ทราบ แต่ทางอ่างทองมีหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ท่านทำเบี้ยแก้ดังเหมือนกัน แต่ว่าเบี้ยแก้สายวัดโบสถ์เวลาเขย่าจะดังซ่า ๆ เหมือนกับมีทรายอยู่ข้างใน ไม่ทราบว่าท่านใส่ปรอทกรอไว้หรือเปล่า ?

ปรอทกรอคือปรอทที่เขาทำจนแข็งเป็นตัว แล้วตะไบเป็นผง ถ้าเป็นปรอทกรอนี่ถือว่าแน่กว่า เพราะต้องใช้น้ำปรอทเยอะกว่า น้ำปรอท ๑ บาท เวลาทำแข็งเป็นตัวแล้วอยู่ไม่ครบบาทหรอก ดังนั้น..ถ้าหากว่าใช้ปรอทกรอ ๑ บาท ต้องใช้น้ำปรอทมากเกินบาท

ฉะนั้น..จากภควะจั่นที่ขออำนาจพระผู้เป็นเจ้าของทางสายฮินดูมา ก็มาเสกด้วยพุทธคุณแบบไทย กลายเป็นเบี้ยแก้ สมัยก่อนลูกศิษย์หลวงปู่ม่วงที่เป็นผู้ชายมาขอเบี้ยแก้ ออกจากวัดแล้วเจอดีทุกราย พวกลูกศิษย์รุ่นพี่จะไปดักลอง ส่วนใหญ่จะฟันกบาลด้วยดาบ อาจจะเป็นคำสั่งหลวงปู่ก็ได้ ที่จะให้คนรับไปมั่นใจว่าของท่านดีจริง ก็เลยให้รุ่นพี่ไปลอง ส่วนใหญ่โดนเข้าไปเต็ม ๆ แล้วไม่เข้า เมื่อหนังเหนียวแบบนั้น คนที่รับไปก็ค่อยมั่นใจหน่อย"
"พอมาถึงหลวงปู่เจือนี่เน้นหนักไปทางด้านเมตตา ค้าขาย น่าจะอยู่ในลักษณะว่า ถ้าทำให้เหมือนเดิมเดี๋ยวลูกศิษย์ไปเป็นโจรกันหมด เพราะคนรุ่นใหม่มีอารมณ์ร้อน ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ คนรุ่นเก่าส่วนใหญ่รับวัตถุมงคลจากครูบาจารย์ไปแล้วต้องรับสัจจะด้วย อย่างเช่นจะไม่กินเหล้า ไม่ด่าแม่เขา ไม่ผิดลูกเมียเขา เท่ากับบังคับให้รักษาศีลไปโดยปริยาย

อย่างตามสายหลวงปู่ปานของเราที่รับยันต์เกราะเพชร ก็ห้ามกินเหล้ากับห้ามลักขโมย เพราะฉะนั้น..ในเรื่องเครื่องรางของขลัง จริง ๆ แล้วโบราณท่านทำขึ้นมาก็เพื่อดึงคนให้หาพระศาสนา อย่างที่บอกว่าพวกคริสต์ที่บางนกแขวกแขวนพระหลวงปู่ปานกันทั้งนั้น

ทางปักษ์ใต้ก็หลวงพ่อซัง วัดวัวหลุง อิสลามขึ้นเต็มวัดเลย ของท่านขลังจริง ลองได้ทุกเวลา ของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็มีแก้วมณีรัตนะกับผ้ายันต์ ทางด้านนั้นเขาถือว่าเป็นผ้ายันต์ไม่ใช่รูปพระ เขาแขวนได้"


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกรกฏาคม ๒๕๕๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

PHALAT โพสต์เมื่อ 31-8-2012 21:10

สวดยวดดด ครับ ขอบคุณสาระดีๆนะครับ

picnicza โพสต์เมื่อ 31-8-2012 21:32

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ

Anurak โพสต์เมื่อ 31-8-2012 21:42

{:8_179:}{:8_178:}{:8_179:}

kaineverdie โพสต์เมื่อ 31-8-2012 22:12

แวะมาชมของงามๆๆเน้อ{:7_144:}

Taenaka โพสต์เมื่อ 1-9-2012 00:15

สาธุ สาธุ สาธุ

tak2012 โพสต์เมื่อ 1-9-2012 09:21

สมัยหลวงปู่บุญ ท่านเสกให้ปรอทวิ่งเข้าไปในเบี้ยเองเลย........(ฟังเขามาอีกที)
สายอ่างทองสมัยก่อน ท่านก็เสกให้ปรอทวิ่งเข้าไปในเบี้ยเองเช่นกัน........(ฟังเขามาอีกที)

แต่ปัจจุบัน มิรู้ว่ามีผู้ใดทำได้อย่างนั้นหรือไม่?

สายเบี้ยแก้ในเมืองไทยที่น่าสนใจ
สายวัดนายโรง
สายวัดกลางบางแก้ว
สายอ่างทอง......

Akatsuki999 โพสต์เมื่อ 1-9-2012 09:35

สมัยหลวงปู่บุญ ท่านเสกให้ปรอทวิ่งเข้าไปในเบี้ยเองเ ...
ต้นฉบับโพสโดย tak2012 เมื่อ 1-9-2012 09:21 http://khalong.com/board2/images/common/back.gif

ผมมีของสายอ่างทอง สนใจสักองค์ไหม :D
พระท่านบอกให้เก็บไว้ดีหาไม่ได้แล้วผมก็ทะลึ่งเอามาปล่ิอย
ช่วงแรกก็ให้ชาวบ้านเค้าไปตอนนั้นองค์ละ300บาทเอง

tak2012 โพสต์เมื่อ 1-9-2012 09:43

ผมมีของสายอ่างทอง สนใจสักองค์ไหม
พระท่านบอกให้เก ...
ต้นฉบับโพสโดย Akatsuki999 เมื่อ 1-9-2012 09:35 http://khalong.com/board2/images/common/back.gif


    หลวงพ่อ....วัด....อะไรครับท่าน

Akatsuki999 โพสต์เมื่อ 1-9-2012 09:47

หลวงพ่อ....วัด....อะไรครับท่าน
ต้นฉบับโพสโดย tak2012 เมื่อ 1-9-2012 09:43 http://khalong.com/board2/images/common/back.gif

ไม่รู้เหมือนกันครับ อยู่ในลิงค็ด้านล่างนี่แล่ะครับ
http://khalong.com/board2/viewthread.php?tid=20032&extra=&page=1
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: การทำเบี้ยแก้