sing โพสต์เมื่อ 10-9-2011 18:35

จาคะอย่างเดียวไปนิพพานได้ไหม? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถาม

จาคะอย่างเดียวไปนิพพานได้ไหม? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถาม<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif

<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif

<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
วันนี้ก็จะขอนำเอาพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งครั้งหนึ่งได้พบกับพระองค์ หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงเขียนหนังสือมาถาม ทรงพิมพ์เองไม่ได้ใช้ใครเขียนมาถามว่า จาคะอย่างเดียวไปนิพพานได้ไหม อันนี้อาตมาก็ได้ถวายพระพรไปว่า จาคะอย่างเดียวไปนิพพานได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคำว่า จาคะ แปลว่า เสียสละถ้าจาคะตัวนี้เรามีกำลังความรู้สึกข้องใจว่าต้องเสียสละ ยังไปนิพพานไม่ได้ จะไปได้ก็เพียงสวรรค์กามาวจรเท่านั้นถ้าจาคะตัดคำว่า “เสีย” ออกเหลือแต่ “สละ” อย่างนี้มีกำลังใจเข้มแข็งยังไปนิพพานไม่ได้ไปได้แค่พรหมโลก ถ้าจาคะกำลังใจเหลือคำว่า “ละ” คำเดียวอย่างนี้ไปนิพพานได้
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
ความจริงการถวายพระพรไม่มีคำอธิบาย เพราะว่าทราบอยู่ว่าพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมาก จึงถวายพระพรไปด้วยคำย่อ ๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าพระทัยได้ดี อาตมาไม่เคยดูถูกดูหมิ่นปัญญาของท่านว่าถ้าพูดเท่านี้ท่านจะยังไม่รู้ แต่ความจริงแล้วอาตมาทราบดีว่ามีปัญญาความสามารถดีกว่าอาตมามาก พระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งยากที่บุคคลภายนอกจะพึงรู้ได้โดยง่าย เพราะว่าเรื่องภายในไม่มีใครเขาจะรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ปรากฏในน้ำพระทัยของพระองค์ในใจ ความรู้สึกอย่างนี้รู้กันไม่ได้แม้แต่คนใกล้ชิด นอกจากพระองค์จะทรงตรัสออกมาเท่านั้น
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
แต่ทว่าที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไต่ถามมามักจะทรงตรัสว่า ผมไม่รู้จะไปถามใคร เวลาถามใคร ๆ เขาก็นิ่งหมด เขาไม่โต้ตอบ พระองค์อื่นบางทีถามท่าน ถามคำท่านก็ตอบคำ บางทีถาม 3 คำท่านก็ตอบ 3 คำ ก็มีหลวงพ่อองค์เดียวที่โต้กันไปโต้กันมาไม่ยอมละ ถ้าอะไรเป็นเหตุเป็นผลก็ไม่ยอมลดจนกว่าเรื่องนั้นจะขาวกระจ่าง จึงได้ถวายพระพรว่า พระองค์อื่นท่านมีอัธยาศัยนิสัยดี มารยาทดี จึงไม่ต้อล้อต่อเถียงต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของชาติของประเทศ <Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif

สำหรับอาตมานี้ถ้าพูดกันแบบชาวบ้านเขาเรียกว่า คนทะลึ่ง เป็นอันว่าอะไรก็ตามทีถ้ายังไม่ขาวกระจ่างก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสั่งสนทนาอาตมาก็ไม่ชอบราชาศัพท์ ชอบศัพท์ภาษาลูกทุ่ง พระองค์ก็ทรงตรัสว่า ผมก็ชอบลูกทุ่งเหมือนกันขอรับ การคุยภาษาลูกทุ่งกับพระองค์จึงคุยกันได้นาน พระองค์ชอบ อาตมาก็ชอบ โดยมากถ้าจะให้ใช้ราชาศัพท์ประเดี๋ยวก็เข้ารกเข้าป่าไป เพราะอะไร เพราะใช้ไม่เป็น เป็นพระป่าพระดง<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif

คำว่า จาคะ ตัวนี้ถ้าเป็นกรรมฐานเรียกว่า จาคานุสสติกรรมฐาน แปลว่า นึกถึงทานการบริจาคในการที่จะสงเคราะห์บุคคลอื่นให้เป็นสุขไว้เสมอ จิตใจนึกอย่างเดียวว่าเราจะเป็นผู้ให้ จะทิ้งอารมณ์ที่นึกว่าเราจะเป็นผู้แย่งคือว่าแย่งหรือว่าโกงทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาเป็นของตน อันนี้ไม่มีในจิตของเรามีอารมณ์นึกอย่างเดียวว่าเราต้องการให้เท่านั้นคือให้ให้เขามีความสุข
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
สำหรับอารมณ์ที่เราจะให้นี้ต้องแบ่งเป็น 3 ขั้น ตามที่กล่าวมา
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
ถ้าให้ด้วยการเสียสละ เป็นปัจจัยให้เกิดบนสวรรค์ หรือว่าถ้าจะว่ากันยังไม่ตายก็เป็นปัจจัยให้เกิดความรักแก่บุคคลผู้รับ เมื่อเรามีคนรักมากเราก็มีความสุขมาก ไปไหนก็มีแต่การยิ้มแย้มแจ่มใสมีความเคารพซึ่งกันและกัน แสดงความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน นี่จาคะตัวต้นให้ผลปัจจุบันในชาตินี้มีความสุข ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้วก็ไปสวรรค์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ายังมีคำว่าเสียดายอยู่มาก เสียสละจิตใจมันยังดึงจัด ต้องใช้กำลังสูงจึงจะดึงออกได้<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif

ถ้ากำลังสูงยิ่งไปกว่านั้น คำว่าเสียหายไป ใจคิดว่าเราสละเพื่อความสุขส่วนใหญ่ ของนี้เป็นของนอกกาย แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้ สิ่งใดที่มันเหลือกินเหลือใช้ที่พอจะแบ่งปันกันได้เราจะให้เขาด้วยความสุข จิตใจยึดอารมณ์อย่างนี้เป็นปกติจนกระทั่งอารมณ์ทรงตัว เรียกว่า ได้ฌานในจาคานุสสติกรรมฐาน เวลาให้ใจก็สบาย สละไปเสีย ของประเภทนี้ไม่หวังผลในการตอบแทน
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
สำหรับข้อต้นที่ เสียสละ นั้นยังหวังผลในการตอบแทน เราให้เขาแล้วก็คิดว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าถ้าเราขัดข้องเขาคงจะให้เราบ้าง อาการอย่างนี้เรียกว่า เสียสละ จิตยังดึงอยู่มาก ยังมีความเสียดาย กำลังประเภทนี้จึงชื่อว่ากำลังใจยังอ่อนอยู่ สมเด็จพระบรมครูจึงทรงตรัสว่า ยังไปนิพพานไม่ได้ ไปได้แค่สวรรค์ พรหมก็ยังไปไม่ได้
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
พอขั้นที่ 2 เข้ามาถึงจุดเรียกว่า สละ คำว่า “เสีย” หายไป คำว่า “สละ” นี่กำลังใจเข้มแข็งยิ่งขึ้น เราสละทรัพย์สินส่วนนี้เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ไม่มีกำลังใจหวังผลจะตอบแทนแต่ประการใด ให้เพื่อเป็นการเชิดชูบำรุงความสุขแก่ท่านผู้นั้นตามกำลังที่เราจะพึงทำได้ เรามีมากให้มาก มีน้อยให้น้อย ตามที่จะให้ได้ ไม่ใช่ให้หมดตัว การที่จะให้นี้องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวว่า ต้องพิจารณาเสียก่อนว่าให้แล้วเราไม่เดือดร้อนจึงควรให้ ถ้าให้เขาไปแล้วเราเดือดร้อนเพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจำเป็นจะต้องกินต้องใช้ตามกาลเวลา อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตำหนิ ว่าการให้อย่างนั้นเป็นความทุกข์จัดว่า เป็นการเบียดเบียนตนเกินไป สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่ทรงสรรเสริญ โปรดจำไว้ด้วยไม่ใช่สอนแต่ให้อย่างเดียว ถ้ากำลังใจทำได้อย่างนี้เป็นพรหม เพราะจิตเป็นฌาน
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
ถ้าตัดตัว “ส สะ” ออกเสียเหลือแต่ “ละ” ตัวเดียว คำว่า ”ละ” ตัวนี้แม้แต่ละวัตถุในอันดับแรกมันก็ละ ถ้าเราละวัตถุได้ หมายความว่าจิตไม่ติดในวัตถุ อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสกับอาตมาเมื่อปี พ.ศ. 2517 วันนั้นเป็นวันเททองหล่อรูป หลวงพ่อปาน เนื่องในงานสร้างพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า เวลานี้จิตใจของผมไม่มีความห่วงใยในวัตถุแล้วขอรับ เห็นว่าวัตถุทุกอย่างทรัพย์สินทุกอย่างที่เรารับมานี่มันเป็นมรดกตกทอดจากญาติผู้ใหญ่ แต่ว่าญาติผู้ใหญ่ที่หาไว้ให้นั้นก็ปรากฎว่าทุกท่านเวลานี้ไม่มีใครอยู่เหลือเลย ตายหมด แต่ละท่านที่ตายไปแล้วไม่มีใครแบกภาระคือทรัพย์สมบัติไปได้เลย ปล่อยทอดทิ้งไว้ให้คนอื่นปกครองต่อไป ที่เสียหายไปก็มาก ทรงตรัสต่อไปว่า ผมไม่ติดใจในวัตถุ ไม่เยื่อใยในวัตถุ มียังไงกินอย่างนั้น มียังไงใช้อย่างนั้น มีความต้องการอย่างเดียวถ้ามีวัตถุขึ้นมาถ้าสามารถจะแจกจ่ายหรือหาทางทะนุบำรุงบรรดาปประชาชนทั้งหลายโดยทั่วหน้าให้มีความสุขได้อย่างนี้ผมพอใจ
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
อารมณ์อย่างนี้เขาเรียกว่า อารมณ์ละ ไม่ติดในวัตถุ ถ้าอารมณ์ละไม่ติดในวัตถุมีแต่ว่าเราจำจะต้องรักษามันไว้บ้าง เพราะร่างกายยังมีอยู่มันยังต้องกินต้องใช้ ถ้าเสียหายไปแล้ว เราก็ไม่ห่วงใยในมัน แต่ว่าถ้าสิ่งใดอันมีอยู่ก็รักษาด้วยดี อย่างนี้เป็นอารมณ์ใจของบุคคลผู้ละ ถ้าเราไม่ติดในวัตถุต่อไปกำลังใจมันก็สูงมันก็ละคือไม่ติดในขันธ์ 5 คือร่างกาย เพราะว่าการที่จะละได้จริง ๆ ในด้านวัตถุต้องเป็นคนมีปัญญาจริง ๆ ที่เขาเรียกว่า วิปัสสนาญาณ
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
วิปัสสนาญาณก็คือตัวปัญญานั่นเอง มีปัญญาพิจารณารู้แจ้งตามความเป็นจริง รู้ว่าสิ่งทั้งหลายในโลกว่ามีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ทรัพย์สินก็ดี ร่างกายก็ดี เวลาตายแล้วเราเอาไปไม่ได้สักอย่าง สิ่งที่จะได้ไปเมืองผีนั้นก็คือความชั่วกับความดี ถ้าเราดึงความชั่วไปเราก็มีความเป็นทุกข์ รับผลของความเป็นทุกข์ ถ้าดึงความดีไปก็รับผลคือความเป็นสุข
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
เมื่อเราละวัตถุได้จิตใจคิดอย่างนี้ก็เลยละร่างกายคือขันธ์ 5 ได้ เห็นว่าร่างกายมันแก่ก็เป็นธรรมดาของร่างกาย ร่างกายมันป่วยก็เป็นธรรมดาของร่างกาย จำจะต้องรักษาก็รักษาเพื่อระงับทุกขเวทนา ระงับไหวก็ไหว ไม่ไหวก็ตามใจ ในเมื่อมันจะตายก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของขันธ์ 5 เกิดมาแล้วมันก็ต้องตาย ใจก็มีความสุข จิตไม่เกาะทั้งวัตถุ จิตไม่เกาะร่างกาย ไม่เกาะวัตถุนอกกาย ไม่เกาะทั้งกาย ไม่มีอารมณ์เกาะใด ๆ ไม่เกาะอยู่ในมนุษยโลก ละมนุษยโลก จิตไม่เกาะอยู่ในเทวโลก คือมีอารมณ์ละเทวโลก จิตไม่เกาะในพรหมโลก มีอารมณ์ละพรหมโลก จิตปรารถนาอย่างเดียวคือ ความดับไม่มีเชื้อ ดับความโลภ ความโกรธ ความหลง
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
ต้องการดับความโลภ ด้วยทาน การบริจาค คือจาคะ<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
ดับความโกรธ ด้วยมี เมตตา กรุณา มีความรักมีความสงสาร ปรารถนาในการเกื้อกูล<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
ดับความหลง ด้วยการไม่ติดอยู่ในวัตถุ ไม่ติดอยู่ในร่างกาย ไม่ติดอยู่ในโลกใดใดทั้งหมด<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
จิตใจของบุคคลทั้งหลายทำได้อย่างนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีกล่าวว่า ท่านตัดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ ใจของบุคคลนั้นเมื่อร่างกายตายใจก็ไป นิพพาน<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
(คัดย่อจากเรื่องบารมี สอนภายใน ลงธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 113)<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif

.................................................<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif
ข้อมูลจาก หนังสือ บารมี ๑๐ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ<Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif</Ohttp://board.palungjit.com/images/smilies/tongue-smile.gif

win006 โพสต์เมื่อ 10-9-2011 20:16

อนุโมทนาสาธุครับ{:8_179:}

kaka_1175 โพสต์เมื่อ 11-9-2011 02:14

เป็นประโยชน์สำหรับนักปฏิบัติอย่างมากเลยครับอนุโมทนาด้วยครับ

poprave โพสต์เมื่อ 11-9-2011 08:15

อนุโมทนาครับ

คณิศร โพสต์เมื่อ 7-10-2011 13:45

สาธุด้วยครับ

TenThai โพสต์เมื่อ 21-3-2012 21:18

สาธุ

pocko โพสต์เมื่อ 4-4-2012 23:09

ไม่ได้อ่านนานแล้ว คิดถึงครูอาจารย์องค์แรกในชีวิต แห่งมโนมยิทธิ

นมัส โพสต์เมื่อ 9-4-2012 14:00

ถ้าจาคะกำลังใจเหลือคำว่า “ละ” คำเดียวอย่างนี้ไปนิพพานได้   

ละได้ เป็นสุข {:8_179:}

Lukechit โพสต์เมื่อ 16-4-2012 16:36

สาธุ

suysakul โพสต์เมื่อ 20-4-2012 10:52

สาธุ
ต้นฉบับโพสโดย Lukechit เมื่อ 16-4-2012 16:36 http://khalong.com/board2/images/common/back.gif


    น้องชิต สงกรานต์ไปเที่ยวไหนมาจร้า

Lukechit โพสต์เมื่อ 20-4-2012 11:04

น้องชิต สงกรานต์ไปเที่ยวไหนมาจร้า ...
ต้นฉบับโพสโดย suysakul เมื่อ 20-4-2012 10:52 http://khalong.com/board2/images/common/back.gif


    ไปตราดครับกลับบ้านไปสรงน้ำวันมุฑิตา วันเกิดหลวงปู่บัวคับ

suysakul โพสต์เมื่อ 20-4-2012 11:06

ไปตราดครับกลับบ้านไปสรงน้ำวันมุฑิตา วันเกิดหลว ...
ต้นฉบับโพสโดย Lukechit เมื่อ 20-4-2012 11:04 http://khalong.com/board2/images/common/back.gif


    อืม {:8_163:}

pn-autogas โพสต์เมื่อ 24-6-2012 07:35

{:8_169:}{:8_179:}{:8_169:}

Nonthaburi โพสต์เมื่อ 12-7-2012 23:29

อนุโมทนา สาธุ{:8_179:}

tak2012 โพสต์เมื่อ 2-8-2012 16:54

อนุโมทนาสาธุครับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: จาคะอย่างเดียวไปนิพพานได้ไหม? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถาม